วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Book: Year End Cleaning Day:31/12/13





เคยได้ยินมาว่าการทำความสะอาดบ้านก็เหมือนการทำความสะอาดใจ 


การเห็นข้าวของเป็นที่เป็นทาง และหาของได้ง่ายๆจะส่งผลให้ไม่เครียดกับการหาของ ที่หาไม่เจอซักที จนกว่าจะเลิกหา และปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างที่ไม่กังวลกับมันแล้ว มันถึงจะโผล่หน้าออกมา "จ๊ะเอ๋" กับเจ้าของ  (จะโผล่มาทำไมตอนนี้!)

ช่วงสิ้นปี 56 ถือเป็นโอกาสดีในการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ หลังจากที่วันศุกร์ 27/12/13 ไม่มีสอน เพราะนิสิตขออนุญาต(แกมบังคับ)กลับบ้าน โดยอ้างว่าวิชาอื่นๆอาจารย์อนุญาตแล้ว 

เอ่อ...มามุขนี้่ก็กลับไปเถอะค่ะ คุณครูเข้าใจดี เพราะสมัยเรียนทุกคนคงเคยเป็นแบบนี้ หาโอกาสกลับบ้านไปเติมกระเป๋าตังศ์ เอ๊ย ไม่ใช่ กลับด้วยความคิดถึงตู้เอทีเอ็ม เอ๊ย ม่ายช่าย (อีกที) คิดถึงพ่อแม่

2-3 วันมานี้เราใช้เวลาส่วนใหญ่กับการจัดๆๆ เมื่อจัดห้องสนง.ไปแล้ว ก็ถึงคิวจัดบ้าน (จริงๆแล้วจัดหนังสือมากกว่า) ปีนี้เป็นปีที่พยายามตัดใจจากหนังสือเก่าเก็บสมัยปริญญาโท(เมื่อ 12 ปีก่อนช่างแสนนาน) แอบคิดมาเรื่อยๆว่าจะได้ใช้มัน และตัดใจไม่เคยลง 




แต่ละปีผ่านไปก็ไม่ได้ใช้มัน ปีแล้วปีเล่า เราเพียงแค่เอามันมาพลิกๆและความทรงจำเก่าๆสมัยเรียนกลับมา 

โอ้ว...เวลาจะจัดหนังสือทีไหน เราจะมีปัญหาทุกที ทั้งการที่เอามันมาจัดเข้าพวก และพยายามเอาออกจากตู้ซะบ้าง แยกประเภทเพื่อบริจาคและ(จำใจ)ทิ้ง

จัดไปบ่นกับแม่ซึ่งนั่งจัดตู้เย็นอยู่อีกมุมนึงว่า เราตัดใจยากจัง ไม่อยากทิ้งเลย แม่บอกว่าไม่ต้องพลิกๆอ่าน ไม่งั้นจัดไม่เสร็จและก็ตัดใจทิ้งไม่ได้ เมื่อไหร่งานจะเสร็จ (แม่เริ่มจัดตู้เย็นจะเสร็จแล้วในระยะเวลาเดียวกันกับที่เรายังจัดหนังสือ 1 ตู้ไม่เสร็จ อิๆ) 

บ่น บ่น บ่น

แม่บอกว่างั้นแม่ช่วยจัดให้

จ๊าก! ให้พระมารดาจัดให้ไม่ได้ เนื่องจากว่าเธอทิ้งหมดเพื่อให้ตู้โล่ง  จำได้ว่าหลายปีก่อนแม่กับพี่เคยฉวยเวลาช่วงที่เราไม่อยู่บ้าน จัดการกับหนังสือเก่าๆในตู้เรา และต้นไม้(ที่เราปลูกไว้ระเกะระกะหน้าบ้านกะให้เป็นสวนป่า อิๆ) ก็ถูกถอนเกลี้ยง ยังกะเราเดินเข้าบ้านผิด! 

OMG ไม่นะ ทำร้ายจิตใจเรามากๆ จนเรางอนไป เอ่อ ...หลายชั่วโมง (อืม ว่าแต่เวลางอนนี่เค้าต้องงอนกี่ชั่วโมง หรือกี่วันกันล่ะ จริงๆควรงอนมากกว่านี้ใช่มั๊ย งั้นเอาใหม่คราวหน้า)

ทำสถิติทิ้งหนังสือและกระดาษไปได้ 7-8 ลังเบียร์!




อ๊ะ...การทำให้ตู้หนังสือและบ้านโล่งไปบ้างนี่ดีจัง ให้ความรู้สึกมีระเบียบ สบายตา ไม่รก 

อ๊ะฮ่า... ว่าแล้วเราก็จะมีที่วางหนังสือใหม่ๆเพิ่ม (น่าน...ยังไม่เข็ดกับการที่ต้องจัดเก็บตอนปลายปี อิๆ)

---------------

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Pre-Wedding Outdoor Studio: Muslim styles






Love does not consist in gazing at each other, but in looking outward together 
in the same direction.

ความรักไม่ใช่การมองตากันแต่เป็นการมองไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน 

                                                        -- Antoine de Saint-Exupery









เราไม่เคยไปสังเกตุการณ์การถ่าย pre-wedding ของเพื่อนๆมาก่อน อันเนื่องมาจากเพื่อนๆไม่ได้เชิญ ฮ่าๆ อืม หรือว่าเค้ากลัวเราตาร้อนผ่าวๆหว่า :)

 ส่วนใหญ่เราจะเห็นภาพ pre-wedding ก็จากหน้างานของคู่บ่าวสาว ครั้งนี้เมื่อ "มี่" ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของหนูนาจะถ่าย pre-wedding และทั้งคู่ชวน เราเลยตื่นเต้นว่าจะได้เห็นอะไรที่แปลกตาเพราะงานนี้มีเพื่อนเจ้าสาวมาเข้ากล้องตั้ง 8 คน (พระเอก เอ๊ย ว่าที่เจ้าบ่าวเลยเป็นดาวล้อมเดือนไปด้วยประการฉะนี้) 

"มี่" ลงทุนซื้อชุดเดรสมาจากกทม. 8 ชุด รวมทั้งผ้าคลุมผม แบบเดียวกัน สีเขียวกับดำลายจุดเข้ากันมาก ดูสดในและขับให้ว่าที่เจ้าสาวในชุดขาวดูเด่น

เพื่อนๆเจ้าสาวแต่งหน้าแบบจัดเต็ม ส่วนเจ้าสาวแต่งหน้าเอง ! อันนี้คงเพราะ "มี่" แต่งหน้าให้ตัวเองบ่อย เพราะเธอเคยทำงานเป็น pretty แนะนำสินค้าอยู่บ่อยๆ 

ร้านเรือนดอกรัก สงขลา ได้รับการว่าจ้างให้ถ่ายรูปในครั้งนี้ โดยเริ่มถ่ายกันที่บริเวณหัวพญานาค สวนใกล้ๆและหาดสมิหลา ตากล้องมี 2 คนเพื่อเก็บภาพคู่บ่าวสาว และไว้เก็บภาพเพื่อนเจ้าสาวโดยเฉพาะ รู้สึกว่าค่าถ่ายรูปจะอยู่ที่ 6900 บ. โดยที่ยังไม่รวมค่าถ่ายรูปเพื่อนๆ (แอบจดข้อมูลยิกๆ ว่าแต่...เพื่ออะไร 55)






เพื่อให้เข้าบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรัก เราเลยใส่ชุดตัวเก่งเพื่อให้ร่วมเข้าบรรยากาศกับเค้าด้วย และรับอาสาช่วยเก็บภาพเบื้องหลังของเบื้องหลังอีกที (นานๆจะเป็นตากล้องกับเค้าซักที) 

การถ่ายรูปหมู่แบบนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ มีชาวมาเลเซียบางคนที่เข้ามาขอถ่ายรูป และบางคนระบุขอถ่ายกับเพื่อนเจ้าสาว! อิๆ สงสัยอยากเป็นดาวในหมู่เดือน  :)

-----------------

It's my 1st time following a Muslim friend of friend to see how she's taken pics. with her bridesmaids & her groom-to-be outdoor. 

Mee has 8 bridesmaids and all of them eagerly posed in different lively styles. Um...every woman is instinctively good at posing and one can smile promptly just seeing a camera, I guess. 


Thanks Noona for inviting me to witness this event. It's a happy time of people involved in the pre-wedding moment.

Experience Has Changed a Person: Global Undergrad Scholarship




            Getting 2013 – 2014 Global Undergraduate Exchange Program scholarship is such a
great opportunity in my life. I can use this chance to explore new world, the United States of
America – the most powerful country in the world. When I first knew this good news, I was
so excited and I prepared myself a lot for fear of not adjusting well with new people and new
places.


            I considered this scholarship as a chance to learn new cultures, not only American but
also from my friends from many countries around the world. It was such a memorable opportunity; this program provides me more than learning American ways of life, at the same time it make the world small. Moreover, I was also proud to present and exchange Thai cultures whenever I had a chance.


            Before leaving Thailand, I was afraid that I could not adjust myself to totally new
environment. Moreover, I thought Americans are materialistic and individual. My
opinions completely changed after I got there. American people are kind and helpful,
especially in small city as I lived, Johnson City, Tennessee. Students there are so studious; in
other words, there are so crowded in library even if in front of classrooms where they spend
time reading books. Group study is another common thing there that impressed me, I realized
studying with friends helped me to get better grade.  Two heads are better than one, I believe
.
            Education system there allows students to study in the topics they are interested in. There are also more chances to express opinion in classes and I also took advantages from those chances to speak English. The education there made me more independently study and  read various books; in contrast from Thai system that teachers give every single information to students.




            Next, I became brave to speak English with my friends and go out with them to speak
and gain more new experiences. I have been studying English for more than ten years, but I
did not have chance to speak daily. The UGRAD Program allowed me to use English in real situations. As a consequence, I love speaking now. Moreover, living there made me stronger in term of attitudes. I have learned how to handle with problems without my parents’ guidance and to make differences. Fulbright Thailand and World Learning gave precious experience that made me become the reliable person.


            Among people from different parts of the worlds with different background and
cultures, life will not be hard if we eagerly listen to other people and accept differences.   
All in all, trying to live there made me become matured, not just a college student as I was
before leaving Thailand. People are welcome to be kind to you if you are open- minded

and willing to experience new things.



                                                          --------------

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คุณหมอหมา & ปัญหาราชสีห์



ความสุขเล็กๆ: ผู้ฟังที่ดี





ปกติ(ในห้องเรียน) เรามักเป็นผู้พูด พูด พูด ถึงแม้หลายครั้งจะพยายามเปลี่ยนบทบาทรับฟังนิสิต ให้นิสิตแสดงความคิดเห็น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเราที่พูด (มาก)

วันนี้ดีใจได้ทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง ไม่น่าเชื่อแค่การฟังก็สามารถแก้ปัญหาได้ ยอดเยี่ยมไปเลยจอร์จ มันยอดมาก ต่อไปเราจะพยายามฟังให้มากขึ้น

เกริ่นมาซะยาว เรื่องนี้มันเริ่มเมื่อวันเสาร์ หลังจากไปหาน้องๆที่โสสะ เราไปซื้อของที่บิ๊กซี หาดใหญ่

คุณหมอสัตวแพทย์จากคลินิคที่เรากับ Kira เคยพาน้องแมวไปรักษาตัว โทรมาหา ถามเราว่า Kira ว่างมั๊ยเค้าอยากเจอ เราเลยพยายามติดต่อ Kira ให้

Kira เข้าไปที่คลินิคสัตว์เมื่อวานแต่ก็ไม่ได้ความคืบหน้าว่าทำไมคุณหมออยากเจอ เนื่องจากสื่อกันยังไม่ค่อยเข้าใจ จนต้องถึงมือเราวันนี้



คุณหมอมาหาเรากับ Kira ที่มหาลัยบอกว่าอยากปรึกษาเรื่องการขยายคลินิคให้เป็นรพ.สัตว์
อืม...เรา 2 คนก็ยังนึกไม่ออกว่าแล้วพวกเราจะช่วยยังไง คุณหมอเล่าให้ฟังว่าเช่าที่ดินของ Baptist Foundation เดือนละ 25,000 B. และช่วงหลังไม่ได้จ่ายค่าเช่าสม่ำเสมอ เนื่องจากเอาเงินไปลงทุนกับอพาร์ทเมนต์ ทีนี้ตามใบแจ้งเตือนการจ่ายค่าเช่ารายเดือน มีคำเตือนว่าหากไม่จ่ายค่าเช่าก็จะถือว่าการเช่านั้นสิ้นสุด คุณหมอเครียดมากเพราะวางแผนว่าจะเปิดเป็นรพ.สัตว์และติดต่อทีมงานและสัตวแพทย์มาเสริมทีมแล้ว

เราคิดว่าคุณหมอเพิ่งจะเครียดเมื่อวันเสาร์ตอนโทรหาเรา แต่คุณหมอบอกว่าคิดเรื่องนี้มาตลอด อยากให้ Kira ซึ่งเป็นชาวคริสต์ได้ช่วยคุยกับจนท.มูลนิธิให้หน่อยว่าเงินที่ติดค้างจะจ่ายให้หมดในสัปดาห์นี้ ขออย่ายกเลิกสํญญาการเช่า

เราฟังๆแล้วก็คิดว่าคุณหมอยังไม่ได้คุยกับทางมูลนิธิเลย แต่มานั่งหาวิธีแก้ปัญหาซะแล้ว ปัญหาคือคุณหมอไม่กล้าโทรไปคุย เมื่อก่อนยิ่งไม่กล้าโทรคุยเพราะไม่มีเงินไปคืน แต่ตอนนี้เมื่อมีเงินคืนก็ไม่กล้าอีกเพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการต่อสัญญา

เวลา 16.45 น.

เราบอกให้คุณหมอโทรศัพท์หามูลนิธิเลย โทรไปก่อนเวลาปิดสนง. เราบอกคุณหมอว่าเราจะมาแก้ปัญหากันทีหลังหากทางมูลนิธิตัดสิทธิการให้เช่าที่ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือโทรไปคุยกับเค้าเพื่อต่อรองก่อน คุณหมอบอกเองว่าเจ้าหน้าที่ใจดี งั้นก็ต้องคุยเลย ลุยไปข้างหน้าก่อน จะได้รู้ว่าปัญหาคืออะไร

โอ้ว...โชคดีมาก คุณหมอได้คุยกับผจก.คุยกันประมาณแค่ 5-7 นาที ทางโน้นก็โอเคที่จะให้คุณหมอเช่าต่อ และคุณหมอก็สัญญาว่าจะจ่ายค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดภายในอาทิตย์นี้

คุณหมอจากที่หน้าตาเคร่งเครียดก็ยิ้มได้ ยิ้มกว้างซะด้วย อิๆ สงสัยจะดีใจมากที่ปัญหาหลุดพ้นจากอก

-------
ดีใจจัง การที่เราฟังอย่างตั้งใจเลยทำให้เห็นปัญหาและเสนอทางแก้ซึ่งก็แสนที่จะธรรมดามาก

ฮ่าๆ รู้สึกประมาณหนูช่วยราชสีห์ ช่วยปลดปมคุณหมอ

จริงๆแล้วคงเป็นเพราะคุณหมอเป็นคนใจดี ไม่ขูดรีด ทำให้สิ่งดีๆที่คุณหมอทำมันย้อนกลับมาตอบแทนคุณหมอ

เรากับ Kira ยังไม่ได้ออกแรงอะไรเลย

ดีใจรอบสองที่ฝั่งสงขลาจะมีรพ.สัตว์ สัตว์ตกทุกข์ได้ยาก จะได้ไม่ต้องไปไกล นี่แสดงว่านอกจากได้ช่วยคุณหมอแล้วเรายังได้ช่วยสัตว์อีกเหรอเนี่ย (เอามือทาบอก ปิดปาก)

 ช่างเหมาะกับตำแหน่งนางงามมิตรภาพ รักสัตว์ นะเนี่ย ฮี่ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ํYoung Generation for Green ICT 2013: มาดามดัน(ดำ)






ช่วงนี้กระแสละคร "มาดามดัน" มาแรง เราเลยต้องขอเกาะกระแสด้วยคน 

อิๆ คนที่ทำให้นึกถึงเรื่องนี้คือ พี่หมูกับปุ๊ เพราะหลังจากเรากับปุ๊ได้รับมอบหมายให้ช่วยพี่หมูหานิสิตที่เข้าตา เืพื่อเข้าประกวด Young Generation for Green ICT 2013 ของสำนักคอมพิวเตอร์ 
เราก็สอดส่ายสายตา หาแว่นขยายมาส่องหานิสิตที่มีความมั่นใจเข้าประกวด 

แปะประกาศไว้ใน FB: TSUWESTERN และ FB ของตัวเอง รวมถึงกลุ่มวิชาเรียน Academic Reading ก็แล้ว นิสิตก็ยังไม่สมัคร หลายคนสนใจแต่ก็แฝงไปด้วยความไม่กล้าขึ้นเวที 
อืม...เราต้องจิ้มไปที่นิสิตบางคนและใช้วาทศิลป์กล่อมให้เข้าประกวด จนได้นิสิตเอกอังกฤษ 9 คนเข้า
ประกวด (มีแค่ปูไปย์ที่ปุ๊ชักนำเข้าวงการและเจย์ที่เข้าประกวดเอง)



(ปูไปย์ ศึกษาศาสตร์ เอกอังกฤษปี 2 ผู้ผ่านการประกวดมาแล้วหลายเวที เวทีใหญ่สุดคือ Freshy Girl จากงาน Freshy Night)



(เจย์ -- ศึกษาเอกอังกฤษ ปี 2 เจย์มีความใฝ่ฝันจะทำงานสายการบิน ในห้องเรียนเจย์ตั้งใจเรียนมาก และถือเป็นนิสิตชั้นแนวหน้าของห้อง ตอนเป็นพิธีกร Cultural Exchange via VDO Conferencing ก็ทำได้ดี)








(ไบรอัน --ก็เป็นนิสิตที่เด่นในชั้น ด้วยความสามารถที่หลากหลายทั้งการเป่าขลุ่ย แกะสลัก และรำมวยไทย ตอนที่เค้าเข้าร่วมโครงการ Cultural Exchange ที่เราทำร่วมกับ Nagoya University นิสิตและอาจารย์ชาวญี่ปุ่นตื่นตะลึงที่ไบรอันทำได้ทุกสิ่งอย่าง)






เดือน--เอกอังกฤษ ปี 2 คณะมนุษยศาสตร์ฯ เป็นนิสิตที่ชอบทำกิจกรรมนอกชั้นเรียนและหาโอกาสที่จะพัฒนาตนเองด้านภาษาอังกฤษด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมที่มหาลัยจัดสม่ำเสมอ เรายังไม่เคยสอนเดือน แต่สังเกตุว่าเธอชอบลองสิ่งใหม่ๆเลยลองชวนเธอเข้าวงการ





การเข้าประกวดครั้งนี้เป็นโอกาสดีของนิสิตที่จะได้หาความรู้เรื่อง Green ICT และนำเสนอตัวเองบนเวทีในวันพุธ ที่ 15/1/57 เราว่ามันเป็นกิจกรรมสนุกๆที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อะไรที่ไม่เคยทำในรั้วมหาลัย ต้องลอง ได้หรือไม่ได้ตำแหน่งเป็นอีกเรื่องนึง ประสบการณ์การทำสิ่งใหม่ๆมันน่าสนใจกว่า

ดั่งสโลแกนประจำใจของเรา "อะไรที่ไม่เคยทำต้องลองทำและท้าทายตัวเองด้วยการทำอะไรใหม่ๆทุกปี" (จริงๆแล้วของเราทำแทบทุกเดือน ฮี่ๆ) 





วันจันทร์ที่ผ่านมา (16/12/56) หลังคาบเรียน Academic Reading เราชักชวน 4 หนุ่มอารมณ์ดี (นราวีย์ อเนชา ภานุพัฒน์ จตุรวัฒน์) และอร ไปหาเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์คอมฯเพื่อถ่ายรูปทำโปสเตอร์และไวนิล และ FB Page เพื่อหา popular vote 

เบื้องหลังการถ่ายภาพเต็มไปด้วยความฮา เพราะนิสิตยังอายกับการอยู่หน้ากล้อง เรากับอรเลยช่วยคิดท่าให้ และบอกให้พวกเค้ายิ้มเยอะๆ เพื่อให้รูปออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สุด





นราวีย์ เป่ายิ้งฉุบไม่รู้ว่าชนะหรือแพ้ เลยได้เป็นคนแรกของกลุ่มในการเข้ากล้อง 
เวลายิ้ม นราวีย์ดูเป็นธรรมชาติแนวผู้ชายอารมณ์ดี ยิ้มตาหยีเลยทีเดียว 





อเนชา-- อเนชามีความคิดค่อนข้างแหลมคมเวลาแสดงความคิดเห็นในชั้น และกล้าแสดงความคิดเห็น หุ่นบึ๊กๆ ล่ำ ๆ ด้วยกล้ามเนื้อทำให้เค้าดูเป็นนักกีฬา ออกแนว sport man 



จตุรวัฒน์ --อาจจะไม่ได้ตอบคำถามในห้องมากเท่าเพื่อนๆในกลุ่ม และเนื่องจากเพื่อนๆช่างแสดงความคิดเห็นกันทั้งแก๊งค์ ทำให้ดูเป็นคนเงียบๆ (สงสัยพูดไม่ทันเพื่อนๆ;) แต่ก็ดูมีไอเดียดีๆเมื่อต้องตอบคำถาม สาวๆน่าจะชอบเวลาที่เค้ายิ้ม เพราะรอยยิ้มเค้าดูอ่อนโยน



ภานุพัฒน์ -- เป็นคนช่างคุย และชอบแสดงความคิดเห็น รวมถึงแซวเพื่อนๆในชั้น สิ่งดีๆในตัวเค้าคือเมื่อชวนให้สมัครกิจกรรมนี้ เค้าก็ไม่เสียเวลาคิดนานและเต็มใจหาอะไรสนุกๆทำ








คนสุดท้ายคือ อร ซึ่งเพิ่งกลับมาจากอเมริกาหลังจากได้ทุน Global Undergrad Scholarship ไปเรียนที่อเมริกา 5 เดือน อรไม่ได้เน้นความสวยแต่เอาความมั่นใจและความฮามาเข้าประกวด อรเป็นคนชอบทำกิจกรรม เมื่อชวนทำกิจกรรมนอกชั้นเรียน หากเธอว่างเธอมักจะเข้าร่วมทันที ไม่เหมือนตอนแรกที่รู้จักตอนสอนเธอเมื่อปี 3 ที่เธอยังติดการที่ต้องเรียนเก่งๆ เอาการเรียนมาเป็นอันดับ 1 ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปเยอะ



เราทำเนียนขอน้องจนท.ถ่ายรูปกับนิสิตในฐานะมาดามดำ เอ๊ย มาดามดัน ฮี่ๆ ด้วยความเกรงใจน้องเลยถ่ายให้แต่โดยดี

โอ้โห จะบอกว่าภาพออกมาดูดีมาก ปลาบปลื้มกับรูป

"ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะ photo shop " จริงๆ อิๆ 





เปลี่ยนห้องเรียนเป็น catwalk


This morning our Academic Reading class was changed to be a fashion show catwalk.
It was fun to see students' creativity and how they worked in a team. They're also great at posing as if being a professional model. 







The theme of the show is to use sarong, a piece of traditional cloths or โสร่ง in Thai creatively. 


One fixed rule is they're not allowed to buy anything for this show. All stuff should be from home or something that they already have. Their performance should be in 7 mins.

The criteria includes English usage, teamwork, creativity,originality and feedback from classmates.



This 1st group models use the hairband to make their dress more colorful. Surprising, not only a skirt, they



The woman uses a pink sarong and wears pony tails to look more lively. The man's supposed to be a fisherman and the fashion is created from a fishing village.


Beach sarong; they might be the most fashionable team with trendy hairbands.


With an expensive bag, the model looks very much like she's on BKK catwalk.



Delightedly, they enjoyed the show and feedback from classmates.

Hopefully, they might get some ideas for the costume for their Bye Senior Party.

นิสิตปี 3 เอกอังกฤษบางคนไม่ได้กล้าพูด กล้าตอบมากนักเมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนต่อเนื้อหาที่เรียน แต่เมื่อเรียนเรื่อง Fashion และต้องมาจัดแฟชั่นโชว์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรายวิชา Academic Reading หลายคนดูมีไอเดียสร้างสรรค์ โสร่งสามารถใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่คิดจริงๆ และสามารถพับและทำชุดใหม่ๆได้เยอะจริงๆ 

เชื่อแล้วว่าวัยรุ่นมักมีความคิดสร้างสรรค์กระฉูดจริงๆ

แฟชั่น น่าจะเป็นหัวข้อที่เข้ากับนิสิตได้ดีจริงๆ 



วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

็Happy Friday 13 & ขวัญเรือน



บางทีความสุขเราก็สร้างไว้ล่วงหน้าได้เหมือนกันแฮะ

นึกไม่ออกล่ะสิ กำลังจะอธิบายจ๊ะ 

ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของเรา แต่น แตน แต๊น!



เราตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนวิจารณ์หนังสือที่อ่าน เพื่อไปลงคอลัมน์ "หนังสือดีของผู้อ่าน" ในขวัญเรือน ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่เรารู้สึกว่าขวัญเรือนช่างใจดี มีพื้นที่ให้นักอ่านได้แสดงฝีมือและความคิดเห็น ประหนึ่งว่า 1 หน้ากระดาษ A4 ของขวัญเรือนพร้อมอุทิศให้แฟนหนังสือ

คิดเรื่องนี้มาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ลงมือทำ จนกระทั่งเมื่อต้องเขียนบทวิจารหนังสือลงวารสารของคณะมนุษยศาสตร์ฯ เรื่อง A Power of Half (พลังแห่งการแบ่งครึ่ง)ก็เสียดายของ อยากมีพื้นที่ลงอีก เลยขออนุญาตอาจารย์ณัฐพงค์ว่าขอตัดตอนความยาว 3 หน้ากระดาษให้เหลือ 1 หน้าเพื่อส่งไปลง "ขวัญเรือน" 



ปีที่แล้วเราเขียนอีเมลไปลงหนังสือ A Day ปีนี้สอดส่ายสายตาและเล็งแล้วว่าต้องเป็นขวัญเรือน เพราะคอลัมน์ "หนังสือดีของคนอ่าน" มันช่างเหมาะกับเรา (แอบคิดเอาเอง อิๆ) และเราลองสำรวจแล้วว่าหนังสือเรื่องอะไรที่เคยลงคอลัมน์นี้แล้วบ้าง เพื่อจะได้เขียนไม่ซ้ำเรื่อง (เพิ่มความน่าจะเป็นในการได้ตีพิมพ์ ฮี่ๆ) พอเจอเล่มไหนที่เราเคยอ่านแล้ว ก็จะ "จิ๊กจั๊ก" อยู่ในใจ ฮึ นี่ถ้าเราเร็วกว่านี้ คงเป็นเราที่ได้ตีพิมพ์ ฮ่า ...มั่นใจปานนั้น 

หลังจากเราส่งอีเมลไปหาขวัญเรือนประมาณปลายกค.56 เมื่อไหร่ที่เข้าห้องสมุด หรือไปตามแผงหนังสือ เราก็จะค่อยๆแง้มหาคอลัมน์นี้เพื่อดูว่าเรื่องเราได้ลงรึยัง 

ว้า...เดือนสิงหาผ่านไป ยังไม่ได้ลง (ขวัญเรือนออก 2 ปักษ์/เดือน)
อ๊ะ ก.ย. ก็ยังไม่มี
ตค. ล่ะ ยังไม่มี ! (ขึ้นเสียงสูง)


เราเริ่มเฉื่อยชาเมื่อเปิดหนังสือเดือน พย. ก็ยังไม่มี 
(คอพับ เอ๊ย ไม่ได้กินเหล้านี่นา งั้นเอาใหม่ คอตก :)

จนเมื่อ



ศุกร์ 13 /12/56 เข้าสำนักงานเลขาฯเพื่อมาเอาข้อสอบตอนก่อน 8.00 น. พี่แดงบอกว่าให้มาเซ็นรับสิ่งตีพิมพ์ด้วย 

อืม...เราเดาว่ามันน่าจะเป็นปฎิทิน (ปลายปีมักจะได้ปฏิทินจากบริษัทประกันและสนพ.) 
แต่เมื่อรีบดูหน้าซอง ปรากฎว่ามาจากสนพ.ขวัญเรือน เรารีบแกะซองตรงนั้นเลย (เห่อซะ) 
แล้วก็ลุ้นว่ามันน่าจะเป็นผลมาจากการเขียนเรื่องไปลงเมื่อหลายเดือนก่อน

เย้ๆ ใช่จริงๆด้วย หนังสือขวัญเรือนปักษ์แรกธันวาคม และหนังสือ The Secret (รางวัลจากการเขียนพร้อมลายเซ็นของผู้มอบจากคอลัมน์ "หนังสือดีของชีวิต คอลัมน์ติดๆกันที่หยิบมาเล่่าโดยคนมีชื่อเสียง)

ยิ้มไม่หุบ กระโดดดึ๋งๆไปเข้าห้องเรียน อย่างตื่นเต้นกับข่าวดีก่อนปีใหม่

คิดเอาเองว่าช่างโชคดีที่มันมาถึงก่อนปีใหม่ เพราะคล้ายๆกับได้ของขวัญปีใหม่จากสำนักพิมพ์ อิๆ
(แน่ะ ทีก่อนหน้านี้แอบบึ้งและเสียกำลังใจที่ไม่ได้ลง(ซักที) 

เราเริ่มเข้าใจว่าของบางอย่างต้องรอคอย และบางทีอย่าคาดหวังเร็วๆ หากปล่อยไปตามสบาย ของที่มันเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราในท้ายที่สุด 

4 เดือนแห่งการรอคอยได้สมหวังแล้ว 
(โบกมือ ส่งจูบจากเวที) พร้อมไฟแห่งนักเขียนพลุ่งพล่าน ปะทุเปรี๊ยะปร๊ะ 

--------------------------

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

December Holiday: Review




วันหยุดยาวๆปนสถานการณ์การเมืองที่น่าเบื่อหน่าย นิสิตส่วนใหญ่กลับบ้านตั้งแต่วันพฤ.5-10 ธ.ค.56 ช่วงนี้โรงเรียนและมหาลัยในสงขลาหยุดกันเป็นว่าเล่นและต้องรอฟังข่าวทาง FB กันวันต่อวันว่าจะประกาศหยุดกันเมื่อไหร่

2/12/56 หยุด
6/12/56 หยุด
9/12/56 หยุด

เรียนๆ ทำงานๆ หยุดๆ นิสิตส่วนใหญ่กลับบ้านต่างจังหวัด บางคนที่เลือดการเมืองเข้มข้นก็ไปศาลากลาง ว่ากันว่า "ไปกู้ชาติ" เมื่อวานแม่บอกอย่างตื่นเต้นว่าแม่จะไปศาลากลางกับเค้าบ้าง แถมเอาห่วงคล้องคอลายธงชาติของเราไปด้วย เพื่อความเข้าบรรยากาศ ดูรูปจาก FB ศาลากลางคนเยอะมากๆ นิสิต อาจารย์ บุคลากรมหาลัยทักษิณก็รวมตัวกันตอน 8.30 น.และเดินทาง 6.8 km. เพื่อไปยังศาลากลางด้วยสปิริตแรงกล้า

โอ้ว...ก่อนเที่ยงฟังข่าววิทยุ นายกปู(เปรี้ยว)ประกาศยุบสภาแล้ว ทำให้สถานการณ์ที่กำลังจะถึงขั้นกลียุคสงบลงได้ ดีจัง อย่างน้อยการต่อสู้รวมพลังของคนทั้งประเทศครั้งนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า
รัฐบาลก็ยังกลัวใจประชาชน เสียงข้างมากจากคนทั้งประเทศ

นับเป็นข่าวดีก่อนสิ้นปี ไม่งั้นปีใหม่คงเป็นปีแห่งการจดจำเรื่องราวไม่ดี อะไรแย่ๆทิ้งไปในปีนี้นะประเทศไทย





------------------
เสาร์ 6/12/56


เวลามาเล่นกับน้องๆที่โสสะ เด็กๆมักจะถามว่าจะมาหาพวกเค้าอีกเมื่อไหร่ 


เรามักบอกวันที่แน่นอนและทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด
ปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้วที่เรายังไปมาหาสู่น้องๆเดือนละ 2 ครั้ง
เห็นการเจริญเติบโตของเด็กๆในทางที่ดีแล้วดีใจ น้องบางคนเราอ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังอ่านหนังสือไม่ออก ตอนนี้เมื่อน้องอยู่ในวัยที่อ่านออกแล้ว เราหลอกล่อให้น้องอ่านให้ฟัง


เพื่อเป็นการถนอมเสียงของเรา เอ๊ย ม่ายช่าย...

นิสิตมหาลัยทักษิณที่เราสนิทมักถูกชักชวนไปด้วยกันอยู่เนืองๆตามโอกาสวันหยุดอำนวย 










ครั้งนี้มีหมูหวานกับแม่ ซึ่งเป็นคนหาดใหญ่ ร่วมปฎิบัติภาระกิจเล่นกับน้องๆด้วยกัน
ขอบคุณคุณแม่หมูหวานและหมูหวานผู้ใจดีที่ซื้อของเล่น ข้าวสาร ลูกโป่ง และของกินไปฝากน้องๆ
 

น้องๆชอบเล่นกับพี่ๆและดีใจเมื่อมีคนมาเล่นด้วย เมื่อตอนที่รถของแม่หมูหวานจอดตรงลานเด็กเล่น น้องเมษบอกว่ามานั่งรอตรงนี้ตั้งนาน เพราะคิดว่าพี่นกจะมา (ฟังแล้วก็ดีใจและอดสะเทือนใจเล็กๆไม่ได้ น้องๆเล็กๆไม่้ค่อยมีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนนอกบ้านมากนักเหมือนเด็กๆที่มีพ่อแม่อยู่ข้างกาย) 

และแม่โสสะ 1 คนยังต้องดูแลลูกถึง 10 คน ! การมาแต่ละครั้งของเราและนิสิตเลยพอจะลดภาระงานของแม่ๆไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย






ดังนั้นกิจกรรมเสาร์-อาทิตย์ของพวกเค้าก็จะไม่มีอะไรมาก เล่นกันเองกับเพื่อนๆวัยเดียวกัน เมื่อมีคนที่พวกเค้ารู้ว่าจะมาเล่นกับพวกเค้า ให้ความรักกับพวกเค้า เด็กๆก็จะดีใจ เข้ามาคลอเคลีย นั่งตัก ขี่คอ เขียนตามคำบอก เล่านิทาน ปั้นดินน้ำมัน วาดรูป

น้องกวางซึ่งไม่คุยกับเราเลย เพราะยังขี้อาย คราวนี้ก็มานั่งใกล้ๆและเริ่มพูดกับเรา เย้...ดีใจจัง 
ส่วนน้องเมษและมิ๊ว ลายมือสวย เมื่อบอกให้เขียนตามคำบอกก็จะรีบเขียน แต่ไม่ขอเขียนคำที่ตัวเองเขียนไม่ได้ อ้าว...เราต้องบอกว่าเขียนผิดไม่เป็นไร เดี๋ยวแก้ให้ แต่น้องๆกลัวจะไม่ได้คะแนนเต็ม (เป็นอย่างนั้นไป)

บล๊อคไม้จังก้าที่เราซื้อมา 350 B. เริ่มคุ้มแล้ว ไม่ว่าน้องๆวัยไหนก็เล่นได้ แถมเรายังมีเพื่อนเล่นอีกด้วย หากตั้งไว้ที่บ้านเล่นคนเดียวไม่สนุกอ่ะ ต้องหอบหิ้ว(แบบหนักๆ) มาด้วยแล้วก็ต้องหอบกลับ เพราะหากบริจาคหรือฝากไว้ที่นี่ บล๊อคไม้อาจจะไม่ครบชิ้นส่วน (อันนี้มีประสบการณ์จากการซื้อจิ๊กซอว์มาเล่นที่นี่ ตอนนี้ไม่มีอันไหนครบสมประกอบกับการเล่นครั้งใหม่เลย) 

เราบอกให้น้องๆเล่นพลิกแพลงขึ้นโดยใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับ น้องๆหัวเราะคิกคัก แต่ก็ยังพยายามจะใช้มือขวาจับ เราฉลาดกว่า (อิๆ) เลยบอกให้น้องๆลองเขียนตัวหนังสือทั้งมือซ้ายและมือขวา แล้้วเราจะตัดสินใจเองว่ามือข้างไหนที่น้องเขียนไม่ถนัด ด้วยวิธีนี้น้องเลยโกงไม่ได้ (รู้สึกฉลาด ฮ่าๆ) 

ในบรรยากาศทางการเมืองเครียดๆ การได้เล่นกับเด็กน้อยเป็นความเพลิดเพลินเจริญใจของเรามาตลอด 8 ปี

----------------