วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

My dream comes true: A Day ( vol.147)




กิจกรรมทำก่อนเตรียมสอนของวันนี้คือเปิด FB เพื่อดูว่านิสิตหรือเพื่อนคนไหนมาแปะข้อความอะไรไว้บ้าง ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยเพราะเปิด FB มาเป็นรอบที่ 3-4 ของวันนี้แล้ว อิๆ (แบบว่าไม่ค่อยเสพติดมันอ่ะนะ)

โอ้ว...(ตาโตเท่าไข่ห่าน) ไม่...ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่ามีข้อความจากปอนด์ (ศิษย์ที่ปรึกษา)ส่งมาทักทาย เขียนซะยาวยืด แอบคิดว่ามีอะไรรึเปล่า

อ๊าว!!!

ฝันที่เป็นจริงของช้านนนน...

อีเมลได้ลงในคอลัมน์ 2-Way Communication!

ปอนด์เขียนแปะไว้ใน wall ของเราว่า

-----------------------
ปกติจะซื้อ a day ทุกวันศุกร์ของสิ้นเดือนทุกเดือน เป็นแบบนี้มาเกือบ 2 ปีแล้ว เล่มที่ 147 ปกญี่ปุ่น น่ารักมาก ซื้อมาตั้งเอาไว้ มาเปิดอ่านจริงๆๆ ก็วันจันทร์แล้ว อ่านไปเรื่อยๆๆ พบคอลัมน์ 2-day communication ของทรงกลด ก็อ่าน สดุดตา ตรงที่ เป็นอีเมลล์จาก ดิญะพร/สงขลา เริ่มรู้สึกแปลกๆๆ เลยอ่านข้อความ เลยตกตะลึง เป็นน้ำเสียงของ อ. นกนั่นเอง แล้วเมื่อดูอีเมล์ ของเป็นของ อ. นกจริงๆๆ อีเมลล์ ของ อ. นก คุณทรง
กลดได้ตอบเเล้ว เปรี้ยวจริงๆๆ อ. เรา ......... ครั้งแรกที่อ่าน a day เป็นเพราะ อ. แนะนำ เลย อ่านแบบขาดไม่ได้มานานแล้ว ที่ห้องนอน มี a day เกือบ 60 เล่ม ตระเวนหามาสะสมเรื่อยๆๆ นอกจากนั้น ยังมี หนังสือ สนพ. a book อีกหลายเล่ม ยอมรับว่า เป็นหนังสือ ที่ช่วยปลุกแรงบันดาลใจ กำลังใจ ไอเดียไหม่ๆๆ ที่น่าติดตามมาก ถ้าถามว่า เล่มไหนชอบมากที่สุด เล่มนั้นคงเป็น Bearwish โดย วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หมีขี้เมา ที่ออกเดินทางเรียนรู้ชีวิตกับ คน อ่านแล้ว รู้สึกได้เลยว่า ชีวิตยังมีอะไรให้เราค้นหา อีกมากมาย กำลังใจเกิดขึ้นได้เสมอ เเม้กระทั่งมาจาก ตุ๊กตาหมีที่ไร้ชีวิต!
 -----------------------

ในที่สุดๆๆ (เอามือปิดปาก  ประหนึ่งเป็นนางสาวไทยที่ได้รับการประกาศผลว่าได้รับคัดเลือก ;) ชื่อของเราก็ปรากฎในหนังสือเล่มโปรด 

นี่ถือเป็นข่าวดีมากๆอีกเรื่องหนึ่งของเราที่ได้ทำตามฝัน อิๆ จริงๆก็แอบลุ้นลึกๆว่าหากเขียนเรื่องสัปดาห์หนังสือ A Day น่าจะเอาอีเมลเราลง(มั้ง) เพราะ

เรื่องมันสด เข้ากับเทศกาล ก่อนเขียนอีเมลไปหาทีมงานอะเดย์ เราสองจิตสองใจว่าจะเขียนไปลงคอลัมน์อะไรระหว่างคอลัมน์ A Day Diary หรือ 2-Way Communication ( 55 ยังกับว่าเขียนไปแล้วจะได้ลงแน่ๆ)

ปอนด์บอกว่าอ่านแล้วรู้เลยว่าเป็นน้ำเสียงของเรา ช่างสมกับที่เป็นครู - ศิษย์กันมาถึง 4 ปี ที่ดีใจอีกอย่างนึงคือปอนด์เลยพลอยติดใจหนังสืออะเดย์ไปด้วยหลังจากที่เราแนะนำให้อ่านเมื่อหลายปีก่อน หนังสือดีๆให้แรงบันดาลใจอย่างอะเดย์ เราคิดว่าคนที่ได้อ่านจะต้องได้แง่คิดกลับไปใช้กับตัวเองแน่ๆ เหมือนที่เราได้ความคิดแง่บวก หรือเรื่องราวดีๆมาเล่าต่อให้ใครต่อใครฟัง 

เราจะได้หนังสือ 1 เล่มเป็นของที่ระลึกที่เขียนอีเมลไปหาอะเดย์ อิๆ อันนี้เป็นผลพลอยได้ เพราะจริงๆแล้วเราแค่อยากให้ชื่อเราไปปรากฎอยู่ในหนังสืออะเดย์สักครั้ง จะได้เอาไว้เป็นความภูมิใจครั้งหนึ่งในชีวิต

เมื่อ 10 ปีก่อน (เอ่อ...ฟังแล้วช่างนานมาก) เราเคยเขียนอีเมลไปลงหนังสือ "กุลสตรี" ได้ลงตั้ง 3 ครั้งแน่ะ ทุกครั้งก็มีรางวัลเป็นหนังสือให้ รางวัลใหญ่สุดคือตั๋วที่พักรีสอร์ท เสียดายเราไม่ได้ไปเพราะติดเรียน ป.โท เราคิดเอาเองว่าเราก็มีฝีมือในเรื่องการเขียนเหมือนกันแฮะ เวลาใครต่อใคร(เผลอ)ชมว่าเราเขียนแล้วขำ เราจะมีกำลังใจไปหลายวัน อิๆ กลับมาเขียนบล๊อคตามลูกยุได้อีกหลายเรื่อง 55 ด้วยความขี้เห่อ




วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หลับดีริมสถานีรถไฟฟ้า



ปิดเทอมตุลาปีนี้ตั้งใจจะไม่ไปไหนไกล จะใช้เวลาทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ที่บ้าน อิๆ
หลังจากได้รับการยืนยันว่าจะได้เรียนคอร์สออนไลน์ Critical Thinking in Lang. Learning & Teaching จาก U. of Oregon, USA
เราก็กะว่าจะเตรียมตัวอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน
 แต่คนอย่างเรามักมีเหตุให้ต้องพลัดถิ่นบินออกจากรัง
ไปชมนกชมไม้ ชมเมือง(หลวง)
อิๆ เขียนยังกับว่าตัวเองเปลี่ยนไป ไม่ชอบเดินทางซะแล้ว
ไหนๆก็ต้องเดินทางเพื่อไปงาน Cambridge Day 2012 ที่กทม.
เราเลยมองหาที่พักใกล้ๆกับโรงแรมวินเซอร์ สุขุมวิท 20
Lub D Hotel: ทางเลือกของคนฝันหวาน
55 เป็นเราเองที่ฝันหวานว่าจะนอนหลับอย่างมีความสุข หัวถึงหมอนปั๊บ หลับในทันใด
แบบว่าปิดสวิตช์สมองได้เลย (เอ่อ หวังมากไปมั๊ย)
เราโน้มน้าวใจพี่แววให้เป็นเพื่อนร่วมชะตา(กรรม) หรือเป็นคู่นอน กับเรา เนื่องจากเราอยากพักโรงแรม
แบบ Hostelling International หรือโรงแรมที่ให้บริการนักท่องเที่ยวแบบราคาประหยัด คล้ายๆหอพัก
และมีบริการ internet ซึ่งราคาที่ถูกบวกกับฟรี internet และทำเลใจกลางเมืองก็เป็นตัวเลือกที่ทำให้นัก(อยาก)เที่ยวเป้หนักแต่กระเป๋าเบา
ตัดสินใจได้ไม่ยาก
ปกติเราไม่เคยพักโรงแรมที่เมืองไทยแบบนี้มาก่อน แต่หากไปนอก เราก็พักแบบ budget hotel นี่ล่ะ
ตอนนี้อยากรู้ว่าโรงแรมไทยแนวนี้เป็นยังไง คนอยากรู้อยากเห็นอย่างเราเลยลองซะหน่อย
โอ้ว...พี่แวว โอ๋ เรา เหมือนกับเป็นคนส่วนน้อยของโรงแรมนี้เลย ฝรั่งวัยรุ่นทั้งนั้น เจ้าหน้าที่โรงแรม
ก็ล้วนแต่วัยรุ่น แต่ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่เงียบสงบ อาจเป็นเพราะทุกคนรู้มารยาทสมบัติผู้ดี
หลังจากเรานั่งรถเมล์สาย  29 จากดอนเมือง - อนุสาวรีย์ ก็มาต่อรถไฟฟ้า เนื่องจากเรามีเวลาเยอะ
เราเลยนั่งหลงไปจนถึงบางนา (แฮ่ๆ ไกลได้อีก)
สุดท้ายเราก็มาถึงโรงแรมจนได้ แฮ่กๆ ทำเอาตื่นเต้น




ห้องแบบเตียงคู่เล็กมาก แต่ด้วยการทาสีส้มทำให้เหมือนกว้างขึ้น (โดยต้องใช้จินตนาการขั้นสูงประกอบ 555
หัวเตียงมีรูปให้เหมือนกับว่าหากล้มตัวลงนอน ก็จะหลับสบาย ได้เวลาฝันดี
ตู้เสื้อผ้าของเค้าดีจริงๆ เอ่อ คงเรียกว่าตู้ไม่ได้เพราะมีแค่ไม้แขวนให้ สามอัน แต่ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือตู้เสื้อผ้า
และแทนที่จะมีทีวี ก็กลายเป็นมีวิทยุให้ฟังกันไป







ห้องน้ำแยกส่วนอีกฟากนึงของห้อง ทำเอาพี่แววซึ่งเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนบ่อย ต้องเดินถึง
สี่เที่ยวกลางดึก (ว๋าย... เริ่มสงสารพี่แววที่ต้องมาตกระกำลำบากด้วยความเป็นคนง่ายๆของพี่เค้า)
บรรยากาศคืนวันศุกร์ที่นี่คึกคักเพราะลอบบี้เปลี่ยนสภาพเป็นบาร์
สามคนชนส่วนน้อยอย่างโอ๋ พี่แวว และเราเลยมานั่งเปิบข้าวเหนียวมะม่วง
และอะโวคาโด้กันด้านหน้าแกล้มเสียงรถไฟฟ้า (อย่างใกล้ชิดติดของสถานี)กันเลยทีเดียว
แอบทำตัวประหนึ่งว่าเป็นคนเมือง พบเจอรถไฟฟ้าอยู่ทุกวัน :)







วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฝันดีที่(โรงแรม)หลับดี

ฝันดีที่หลับดี

เพื่อนเคยแนะนำโรงแรมหลับดีว่าอยู่ใจกลางกทม. ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก เราเห็นชื่อแล้วก็ปิ๊งทันที โอ้ว...ช่างเป็นโรงแรมในฝัน พักที่นี่ทั้งหลับและฝันดีแน่นอน

เมื่อต้องมาประชุม  Cambridge Day (26 Oct. 2012) ที่่กทม. เลยรีบชวนพี่แววให้เลือกที่นี่เป็นที่พัก เราจะได้ลองโรงแรมแบบ Hostelling International (โรงแรมราคาประหยัดเพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการประหยัดค่าที่พักและได้เจอเพื่อนใหม่ๆซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยนักเดินทาง)


เราเลือกที่พักแบบ twin bed ห้องน้ำแยกต่างหาก(นี่เป็นสไตล์ของโรงแรมแนวนี้)
ราคาจัดว่ารับได้คือห้องละ 1120 B.

บรรยากาศที่นี่เป็นสไตล์วัยรุ่น ผู้เข้าพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ วัยรุ่น โอ้ว...รู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เนื่องจากมีหัวดำๆอยู่แค่ไม่กี่คน



ที่นี่มีกิจกรรมให้ผู้พักไม่เหงา หากไม่รู้จะไปเที่ยวไหนก็สามารถเลือกทัวร์ของโรงแรมได้ เช่นไปดูการเล่นหุ่นเชิด ไปตลาดน้ำ เราว่ามันก็สะดวกดีแฮะ นักท่องเที่ยวจะได้ไม่ต้องคิดโปรแกรมเอง

วันพฤ.ที่เราไปถึงมีเกี๊ยวทอดแจกด้วย ราดน้ำจิ้มอร่อยดี อิๆ คิดว่ามีทุกคืน กลายเป็นว่าคืน

วันศุกร์ล๊อบบี้กลายสภาพเป็นบาร์ไปซะแล้ว หัวดำ 3 คนอย่างโอ๋ พี่แวว เรา เลยมานั่งกินอะโวคาโด (ของโปรดเรา) ซึ่งพยายามโน้มน้าวให้พี่แววกับโอ๋ลองด้วย คนถ่ายยากอย่างเราต้องกินยาถ่าย(คืออะโวคาโด) เม็ดละ 50 B. อิๆ





ฝาผนังด้านนอกของโรงแรมทำไว้กิ๊บเก๋ มีคำชวนหัวอยู่หลายอัน
เช่น " อยู่เย็นเป็นโสด" "บ้าแต่ว่าไม่โง่" อันแรกโดนใจ จึ๊กๆ โอ้ว...โอ๋เลยสัมภาษณ์พี่แววถึงความรู้สึกของการเป็นโสดเพื่อเตรียมตัวเอาไว้ในอนาคต

เราอยากเปลี่ยนใหม่เป็น "โสดสนุก" มากกว่า เนื่องจากกิจกรรมของคนโสด โลดโผนและสนุกกว่าคนมีลูกกวนตัว มี...กวนใจ เยอะเลยย... คิดจะไปไหน ทำอะไรก็อิสระเสรี
หน้าตาไม่เคร่งเครียด