วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564

เพื่อนแบบ FB

เพื่อนมักมีอะไรให้ประหลาดใจ หรือเพื่อนก็เป็นแบบนี้ล่ะ แต่เราอาจจะเพิ่งมารู้:) เมื่อเพื่อนในวัยผู้ใหญ่บอกว่าเลือกเพื่อนที่จะคุยโดยดู FB อดนึกถึงหมอดูที่ดูดวงคนผ่านลายมือ ผ่านใบไม้ ผ่านโหงวเฮ้ง bla..bla..bla.. แต่เพื่อนคนนี้เลือกเพื่อนที่จจะคุย(หรือไม่คุย)กับเพื่อนผ่านการโพสท์ FB ของเพื่อน (เขียนเองเริ่มงงกับสรรพนามแล้วนะเนี่ย) เราก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนหยิบมาจาก FB ซึ่งจริงๆแล้ว FB เราแทบไม่มีอะไรมาก เราใช้มันเป็นบันทึกเรื่องงานซะมากกว่าเรื่องอื่นๆ เพื่อให้มันเตือนอีกทีในปีถัดๆไปว่าทำอะไรบ้าง และใช้ FB ในการนึกถึงกิจกรรมที่ทำในแต่ละสัปดาห์ เดือน ปี FB ของเราเลยไม่ได้สนใจยอด like เรายัง unfollow, unfriend คนที่มีใน FB อยู่บ่อยๆ เราว่าหากอยากเป็นเพื่อนกับใคร ก็ค่อยขอ FB กันใหม่ และหากเพื่อนจะทำแบบนั้นบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละเนอะ เรา unfollow เขาได้ เขาก็ unfollow / unfriend เราได้เหมือนกัน ตอนนี้นอกจาก FB & LINE เราก็ยังมี What's app อีกอย่าง เอาไว้ติดต่องานกับต่างประเทศ เพราะมันฮิตในบ้านเมืองเขามากกว่า เพื่อนมาเลย์เคยบอกว่านิสิตเขามอง FB ว่าเป็น Papa & Mama's era ฮ่าๆ เป็นยุคสมัยของพ่อแม่ พวกเขานิยม IG หรือใช้ What's app มากกว่า แม้แต่ที่ลาว What's app ก็ยังเป็นที่นิยม เราว่ามันยังดูใช้ยาก เพราะโชว์เบอร์โทรศัพท์มากกว่าหน้าคน ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เอ๊ะ ตั้งต้นเรื่องเพื่อน ตอนนี้เราไปไกลถึง What's app แล้ว หากเปรียบเพื่อน เพื่อนหลายคนเหมือน FB ที่เราอยากเจอทั้งใน FB & Face-to-face เพื่อนบางคนเหมือน LINE ที่เราเอาไว้ติดต่อและเก็บไว้เมื่อต้องติดต่องาน เพื่อนบางคนคงเหมือน What's App ที่นานๆเจอกันที เห็นกันไกลๆ และเมื่อเห็นกันทีก็ร้องว่า What's up,man? เรามีเพื่อนคนนึง เพื่อนคนนี้ของเราเหมือนเป็น FB ในช่วงแรก แต่ จุ๊ๆ ...เพื่อนคนนี้นะมีความติสท์และโลกส่วนตัวสูง แว่บมาแว่บไป ทำให้เรางง ๆ จนเราเปลี่ยนสถานะ(ให้เอง)จาก FB เป็น What's app เพื่อนที่คุณก็รู้ว่าใคร :)

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564

หนังสือ - ห้องสมุด - อาชีพ

ตอนเด็ก ๆ คำถามยอดฮิตที่เด็กๆโดยถาม คือ "โตขึ้นจะเป็นอะไร" เราตอบส่งๆบ่อยๆ แล้วแต่อาชีพที่นึกออกตอนนั้น เมื่อยังเล็กมากคงตอบแค่ พยาบาล ครู และเมื่อเริ่มรู้ตัวแล้วว่ากลัวเลือด (แถมด้วยเรียนวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับ D:) อาชีพนี้ก็ตกขอบไป ให้นึกถึงตอนเด็กเมื่อไหร่ อาชีพที่เรานึกถึงจะต้องมีหนังสือหรือกระดาษเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เราเคยอยากเป็นบุรุษไปรษณีย์ เราว่าอาชีพนี้นำความสุข ความตื่นเต้นให้ผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นข่าวดี ข่าวร้าย การมีบุรุษป.ณ.มาเยือนแล้วยื่นจดหมายให้ เราว่าการรอคอยมันมีค่า ( ตอนนี้จะรวมความดีใจและตื่นเต้นที่ได้รับของจาก Kerry, Flash , Best เข้ามาด้วย :) แต่หากตอบแบบจริงๆจังๆ เราว่าตอนนั้นเราอยากเป็น "บรรณารักษ์" ห้องสมุดคือที่แห่งความสุขของเรา สถานที่เงียบๆ มีชั้นวางหนังสือให้เดินไล่เรียง หาหนังสือที่อยากอ่าน และหลายครั้งที่หาเล่มหนึ่ง แต่กลับได้หนังสือเล่มอื่นๆที่เจอระหว่างกวาดสายตาผ่านติดมือกลับมาด้วย เราชอบใช้เวลาอยู่ห้องสมุดมาตั้งแต่สมัยประถม-มัธยม-มหาลัย ความรู้สึกหนึ่งที่มีต่อบรรณารักษ์คือ "ความใจดี" "หน้าตายิ้มแย้ม" สมัยเด็กครูดวงประทีป มักจะนั่งอยู่ในห้องสมุด เราว่ามันเท่ห์สุดๆกับการมี office ที่เป็นห้องสมุด มีหนังสือรายล้อม เราตระเวณอ่านหนังสือจากห้องสมุดของโรงเรียน ยาวไปถึงห้องสมุดของโรงเรียนวัดเขาบ่อ วัดแหลมพ้อ และเมื่อเรียนมัธยม ห้องสมุดของโรงเรียนก็มีหนังสือเยอะแยะให้อ่าน เราว่าหนังสือนอกเวลาของยุคประมาณ 2529-2535 นั้นเราน่าจะอ่านเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็น -มอม -ฉันอยู่นี่ศัตรูที่รัก -แก้วจอมแก่น -เอมิลยอดนักสืบ -ห้าสหายผจญภัย (เล่มนี้เราเพิ่งเจอฉบับภาษาอังกฤษจากร้านมือสองเมื่อ 2ปีที่แล้ว ดีใจเหมือนเจอขุมทรัพย์ รู้สึกเหมือนยังผจญภัยไปกับห้าสหายได้อีก ความรู้สึกของการอ่านเล่มนี้ตอนเด็ก กับตอนโต ไม่ต่างกันมาก ขอบคุณภาษาอังกฤษที่ทำให้เราได้อ่านทั้ง 2 versions) -ห้าใบเถา -แวววัน -เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก (เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเขียนเรื่องแนวนี้บ้าง หยิบเอาเรื่องที่ย่า ยาย แม่ เล่าให้ฟังมาเขียน เล่าวิถีแถวบ้านน่าจะดี) จากความชอบหนังสือและห้องสมุด พาเรามาไกลสู่การเป็น "ครูภาษาอังกฤษ"ทิ้งอาชีพบรรณารักษ์เอาไว้ข้างหลัง ได้แค่เอามาใส่ในวิชาที่เรียน ด้วยการแนะนำหนังสือน่าอ่านให้นิสิต และพยายามปลูกฝังการอ่านให้ลูกศิษย์...และเพื่อน :)

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564

Invictus: Movie reflection

I love when the president gives the winning trophy to the captain of the rugby national team. It made him aware of his own importance that he not just rugby players popular sports of white people, but represents the hope of the whole South African nation. The most important thing is that he is doing his best for others. จากการชมภาพยนตร์เรื่อง INVICTUS ทำให้เห็นว่า เนลสัน แมนเดลา เป็นคนที่มองการณ์ไกล และทำทุกอย่างเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น เช่น ดังคำพูดของเมนเดลาว่า “อดีตมันเป็นอดีตไปแล้ว” ทำให้เห็นว่าเขาไม่จมปลักกับอดีต และไม่นำสิ่งร้ายหรือสิ่งไม่ดีในอดีตมาทำให้เกิดผลกระทบกับปัจจุบัน ถึงแม้ในอดีตคนผิวสีและคนผิวขาวจะมีความขัดแย้ง และมีความไม่พอใจหรือความแค้นต่อกันมากเพียงใด แต่เมเดลลาก็สามารถสร้างความปรองดองระหว่างทั้งสองเข้าด้วยกันได้ เพราะเขาเชื่ิอว่าถ้าอยู่ร่วมกันโดยไม่เบียดเบียนหรือเหยียดสีผิวกัน ย่อมก่อให้เกิดความคิดและทัศนคติที่ดีต่อกันได้ ส่งผลถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาประเทศได้ ในภาพยนตร์หนูรู้สึกประทับใจตอนที่แมนเดลาเข้าไปขอให้พนักงานทำงานต่อ โดยให้บอดี้การ์ดรอข้างนอก แล้วเขาพูดว่า "หากคุณต้องการให้คนอื่นเชื่อสิ่งที่คุณพูด คุณต้องไม่แอบอยู่หลังคนที่ถือปืนเพราะนั่นเป็นการบังคับเขา" นี่ถือเป็นการกระทำที่ให้เกียรติผู้อื่น โดยไม่ใช้อำนาจของตัวเองเป็นใหญ่ และสามารถทำให้เข้าถึงจิตใจของผู้อื่นมากขึ้น แมนเดลาจะเน้นสร้างความปรองดองของคนในประเทศและยุติความขัดแย้ง ทำให้คนในประเทศมีความสามัคคีแต่ไม่แบ่งแยกกัน เหตุนี้ทำให้เขากลายเป็นที่ยอมรับของคนในประเทศในที่สุด จากการได้ดูหนัง Invictus ผมได้รับข้อคิดต่างๆ และได้มุมมองใหม่มากขึ้น แม้ว่าการเหยียดสีผิวในประเทศของเราจะไม่ได้โหดร้ายเหมือนต่างประเทศ แต่มันก็ยังสามารถเชื่อมโยงกับการเหยียดสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียด ฐานะ เพศ และศาสนาในสังคมของเรา สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือการที่ผู้นำเลือกที่จะใช้วิธีปรองดองในการดูแลประชาชนทั้งสองฝ่าย เเม้ว่าในอดีตกลุ่มคนผิวสีจะไม่ได้รับสิทธิ์เท่าคนผิวขาว สิ่งนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ของคนสองกลุ่ม โดยการสลายความกลัวของคนผิวขาวที่กลัวว่าตนจะถูกรังแกกลับ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้คนผิวขาวกลับรู้สึกปลอดภัยและไว้ใจคนผิวดำมากขึ้น “ถ้าเราอยากจะสร้างสันติกับศัตรู เราจะต้องจับมือกับศัตรู แล้วศัตรูก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนของเรา” ผมเห็นด้วยกับวลีนี้อย่างมาก เพราะไม่มีวิธีการใดที่จะทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนได้ดีเท่าการปรองดอง จากการที่ผมได้ดูหนังเรื่อง Invictus ผมประทับใจตอนที่เนลสัน แมนเดลดาพูดว่า “I am the master of my fate, I am the captain of my soul.” แสดงให้เห็นว่าเนลสันเป็นคนมีจิตใจที่แน่วแน่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แม้ว่าตัวเองจะต้องติดคุกนานถึง27ปี ต่อมาหลังจากที่เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้คนในประเทศแอฟริกาใต้ไม่ว่าจะเป็นคนขาวหรือคนผิวสีปรองดองกัน และในที่สุดเขาก็ทำมันจนสำเร็จผ่านกีฬารักบี้ ซึ่งจากการดูหนังในครั้งนี้ทำให้ผมได้รับข้อคิดต่างๆมากมายเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ให้รู้จักการมองการณ์ไกล ความเท่าเทียมกันของเพื่อนมนุษย์ และความรักความสามัคคี และที่สำคัญคือการไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก จากที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องinvictus ได้เรียนรู้ว่าการนำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาปรับใช้เป็นบทเรียนเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง การที่เราโดนใครสักคนหรือคนกลุ่มใหญ่กระทำไม่ดีจนส่งผลกระทบทางจิตใจหรือร่างกายไม่จำเป็นต้องแก้แค้นด้วยการทำแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้น การเรียนรู้ที่จะให้อภัยและให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามได้เรียนรู้ความของเป็นจริงของเราจะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า เหมือนที่Nelson Manladaทำมาตลอด จนเขาสามารถเปลี่ยนมุมมองของคนผิวขาวต่อคนผิวดำได้ แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างสังคม ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ต่อให้เขาจะเป็นถึงผู้มีอำนาจสูงสุดแต่ไม่มีคำสั่งที่ให้ประชาชนแบ่งชนชั้นกัน คุณลักษณะที่ผู้นำประเทศจำเป็นต้องมีคือมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเห็นคุณค่าของทุกคน เพราะเป็นสิ่งที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญได้ จากการดูภาพยนตร์เรื่อง Invictus หนูประทับใจการที่ภาพยนตร์ใช้กีฬารักบี้เป็นทั้งสัญลักษณ์และตัวเชื่อมเรื่องราวต่างๆทั้งหมดของเรื่อง รักบี้เป็นกีฬาที่แบ่งชนชั้นของคนผิวขาวกับผิวดำ มีบทสนทนาของคนขาวกับคนดำในเรื่องที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างฟุตบอลที่ผิวดำชอบกับรักบี้ที่คนผิวขาวเล่นเป็นปกติในแอฟริกาใต้ว่า “ฟุตบอลเป็นกีฬาของนักเลงที่เวลาเล่นจะเล่นแบบสุภาพบุรุษ แต่รักบี้เป็นกีฬาของสุภาพบุรุษที่ตอนแข่งจะเล่นแบบนักเลง” เป็นคำพูดที่เสียดสีคนผิวดำ เหมือนกับพยายามจะเปรียบว่าคนผิวดำที่พยายามจะยกระดับตัวเอง หรือแม้แต่คนผิวดำเองก็ทำทุกอย่างที่จะไม่เชียร์รักบี้ทีมชาติตัวเองเพื่อแสดงการเป็นศัตรูกับคนผิวขาวอย่างชัดเจน ดังคำพูดที่เนลสัน แมนเดลล่าพูดว่า แม้แต่ตัวเขาเองเมื่อครั้งหนึ่งที่เขาถูกคุมขังอยู่เขาก็ยังเชียร์ชาติอื่นที่แข่งกับทีมชาติแอฟริกาใต้ และหนูเห็นในหนังมีการสอดแทรกความเหลื่อมล้ำในสังคมเข้าไปบ้าง เช่นที่คนรับใช้ในบ้านของคนขาวที่บ่นเรื่องสวัสดิการที่ค่อนข้างมีปัญหา หรือตอนนักรักบี้ทีมชาติต้องออกไปตามชนบทเพื่อไปสอนเด็กๆผิวดำให้เล่นรักบี้ ซึ่งฉากนี้ทำให้หนูเห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากของคนผิวดำ และหนูคิดนี่ว่าน่าจะเป็นกุศโลบายที่สำคัญที่เนลสัน แมนเดลล่า พยายามใช้รักบี้เป็นตัวเชื่อมให้คนผิวขาวเข้าใจคนผิวดำและให้คนผิวดำหันมาสนับสนุนคนผิวขาวและเพื่อเป้าหมายการเป็นแชมป์โลกรักบี้ของทีมชาติแอฟริกาใต้โดยมีความเป็นหนึ่งเดียวของชาติคือเป้าหมายหลักที่เนลสัน แมนเดลล่าตั้งใจที่จะทำให้เกิดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ จากที่ได้ดูภาพยนตร์ Invictus หนูชอบฉากประเทศแอฟริกาในยุคสมัยนั้น ที่เค้าทำย้อนไปในอดีตทั้งรถ บ้าน ตึก ผู้คนที่พอดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนเราอยู่ในยุคนั้นจริงๆ ทำให้เราอินกับหนังและตัวละครมากขึ้น จริงๆแล้วหนูเป็นคนที่ไม่ค่อยดูหนังแนวนี้ แต่หลังจากดูรู้สึกว่าหนังให้แรงบันดาลใจเรามากๆเหมือนให้พลังบวกเรามากขึ้น การเปลี่ยนความคิดของคนหลายล้านคนที่ไม่ชอบกัน ขัดแย้งกัน แต่กลับมาปรองดองกัน สำหรับหนู หนูมองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากแทบจะเป็นไปไม่ได้ ผู้นำมีอุดมการณ์และเป้าหมายที่แน่วแน่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือแมนเดลามีความเชื่อ เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ เขาเริ่มจากตัวเอง และคนใกล้ตัว จนทำให้คนอื่นๆเชื่อตามเขา แมนเดลาเป็นผู้นำที่มีความอ่อนโยนให้อภัยคนผิวขาว ไม่คิดถึงแต่ตัวเอง แต่จะคิดถึงคนอื่นด้วยเสมอ ไม่จมอยู่กับอดีต อยู่กับปัจจุบัน และสร้างอนาคตของประเทศให้ดีขึ้น หนูมองว่าเป็นผู้นำที่ดีมากๆ

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2564

Decluttering Life: ลดสะสม เน้นสะสาง

เหตุ: อ่านหนังสือไป 2 เล่ม คือ ชีวิตดีได้เมื่อทิ้ง และ หนึ่งปีที่จะไม่ซื้อของ (One Year without Purchase) เพื่อกระตุ้นให้ตัวเองไม่ซื้อของเยอะ และจัดการกับความยุ่งเหยิง หนังสือเต็มบ้าน สิ่งที่ตามมา: 1. การจัดการหนังสือ เราพยายามลดจำนวนหนังสือในบ้าน ด้วยการที่เมื่อเอาหนังสือมาคืนที่ห้องสมุดประชาชนกศน. สี่แยกป่าไม้ เราก็จะนำหนังสือมาบริจาคด้วย เวลาหยิบหนังสือก็จะพยายามตัดใจอย่างรวดเร็วว่ามันจะไปเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย ดีกว่านอนแช่อยู่บนชั้นหนังสือที่บ้านเรา ตอนนี้หนังสือภาษาไทยเลยเริ่มเหลือน้อย ส่วนหนังสือภาษาอังกฤษเราจะบริจาคที่สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับนิสิตที่อ่านภาษาอังกฤษได้ มากกว่าเอาไปให้ที่ห้องสมุดประชาชน แต่จริงๆแล้วนิสิตก็ยังไม่ค่อยอ่านนิยายภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่นะ เอกอังกฤษก็มักอ่านตามสั่งในรายวิชาการอ่านซะมากกว่า ต้องขอบคุณห้องสมุดประชาชน ที่เราส่งคืนหนังสือสายเป็นเดือน ก็ไม่ว่า 55 เราเลยได้ใจ เอ๊ย ม่ายช่าย เราเลยตอบแทนด้วยการเอาหนังสือไปบริจาคทุกครั้งจนเป็นธรรมเนียม เราพบว่าแต่ละครั้งเมื่อไปที่นั่นก็ยังมีหนังสือน่าอ่านที่เราหาได้ที่นั่นที่เดียว อย่าง 2 เล่ม ข้างต้นก็เหมือนกัน 2. การจัดการยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าบัตรเอทีเอ็ม มีค่าธรรมเนียม 200 บ.ต่อปี ก็สะดุ้งเฮือก เพราะเราอุตส่าห์คิดว่าการไม่มีบัตรเอเทีเอ็มน่าจะดีไม่ต้องจ่ายเงินคล่อง รูดปื๊ด ๆ เมื่อบัตรธ.กรุงเทพ หายทั้ง 2 ใบ เราก็ใช้การโอนเข้าบช.ของพี่แทน จนโอ๋เตือนขึ้นมาครั้งนึง เราเลยคิดว่าไม่ได้ซะแล้ว ต้องรีบไปปิดบัตร เดือนที่แล้ว เราเลยไปปิดบัตรที่ธ.กรุงเทพ สาขาหน้ามหาลัย โดยไม่ได้ขอค่าธรรมเนียมคืน วันนี้ (4/3/64) เราไปยกเลิกอีก 1 บัตร ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา หน้าราชภัฎ ไปตั้งแต่เช้า เลยได้เป็นคิวแรกๆ รวดเร็วมาก และโดยไม่ต้องขอค่าธรรมเนียมคืน น้องจนท.ก็จัดการให้เสร็จสรรพ เลยได้เงินคืนมา 183 บาท! ดีใจจัง ที่ช้ำใจก่อนหน้านี้คือบัตรเครดิตของเทสโก้ โลตัส เรียกเก็บเงินรายปี 600 กว่าบาท ทั้งที่ยังไม่ได้เปิดใช้ใดๆ เมื่อเราเข้าไปอ่านในกระทู้พันธ์ทิพย์ มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว และไม่เห็นมีใครขอยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ไอ้หยา! เราถือใบแจ้งจ่ายเงินไปจ่ายที่ counter จ่ายเงินของเทสโก้ จ่ายไม่ได้ ต้องไปชำระที่ธนาคารชั้น 1 ด้านล่าง (น้อง cashier บอกอย่างนั้น) ปรากฎว่า 2 ธนาคาร ก็จ่ายชำระเงินให้ไม่ได้ เสียอารมณ์มากมาย แล้วจะเขียนวิธีชำระเงินไว้เยอะแยะทำไม ท้ายสุดวันรุ่งขึ้น เราก็ไปจ่ายที่ป.ณ. ห้าแยกเกาะยอ ภายใน 5 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย จบกันที! ------------- 30/03/64 กลับมาเขียนต่อว่า decluttering อะไรไปบ้างในรอบเดือนมีค. อิๆ 1. เราทำเรื่องค้างคาเสร็จไปอีกเรื่อง ไปจ่ายชำระภาษีที่สรรพากรจังหวัดมาแล้วเมื่อ 22/3/64 ตอนเช้าก่อนเข้ามาสนง. ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ดำเนินการเสร็จ คนอื่นๆมักทำเรื่องออนไลน์ แต่เรารู้สึกว่าให้จนท.ทำให้น่าจะเรียบร้อยกว่า มั่นใจได้ว่าไม่ต้องมานั่งทำหลายรอบ (ปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่เราหักลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเงินวันไหว้ครู 10000 บ. + หมู่บ้านเด็กโสสะ 300 บ./เดือน รายปี ซึ่งปีนี้เราไม่ได้บริจาคให้น้องป๋อ แต่บริจาคให้หมู่บ้านเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ต่อ เนื่องจากถามน้องแจ๋วแล้วว่าเด็กๆทุกคนจะมีเงินที่จัดสรรปันส่วนให้อยู่แล้ว + UNICEF 1499 บ. เพื่อกล่องข้าว อิๆ เราเห็นใบเชิญชวนให้บริจาคอยู่ใน locker เลยชวนโอร่วมบริจาคด้วย (อันนี้ถือว่าเป็นการบริจาคในปีใหม่และเดือนเกิด) ซึ่งโอใจดี บริจาคแบบเต็มจำนวนและเกินมา 1 บ. ทำให้เราไม่ต้องเติมเงินของตัวเองเข้าไป :) 2. เมื่อวานเราสะสางหน้าตู้หนังสือที่บ้าน ให้กตช่วยเก็บกระดาษใส่กระสอบไปขายของเก่า และจัดหนังสือในตู้อีกหน่อย ตัดใจทิ้งหนังสือ magazine (Japan Perspective) ซึ่งตั้งเอาไว้นานมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เบื่ออ่านนะ แต่ตั้งไว้ก็ไม่ได้หยิบมาอ่านมาก เลยยกให้การชั่งกก.ขายซะเลย เราจะตัดใจหนังสือเป็นระยะๆ ด้วยการเอาไปบริจาคห้องสมุดประชาชนกศน. ----- การอ่านหนังสือ ยิ่งอ่านให้จบเร็วเท่าไหร่ เราก็จะตัดใจบริจาคได้เร็วเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เราว่าเราก็อ่านหนังสือแค่รอบเดียว จะตั้งเอาไว้ให้เต็มตู้ทำไมเนอะ แบ่งๆให้คนอื่นๆอ่าน น่าจะได้ประโยชน์กว่า เดือนที่ผ่านมา Eng. Club และเราจัด Book Discussion เราก็ได้หนังสือจากนิสิตมาอ่านเพิ่มอีก 2 เล่ม "สิ่งที่สำคัญในชีวิต" โดยนิ้วกลม ยืมต่อมาจากบี พิมพกานต์ และครอบครัวที่ลัก (Shoplifter) นิยายญี่ปุ่นละมุนละไม ที่เริ่มจากเราได้ยินว่าเป็นหนังญี่ปุ่นที่ดี เมื่อนิสิตวันนาเดีย ซึ่งเข้าร่วม Book Discussion เขียนว่าเธอกำลังอ่านเล่มนี้ เราเลยแลกกันอ่าน โดยเราให้ยืม "ห้องอาหารนกนางนวล" (ยืมมาจากมอนอีกที อิๆ) ตอนนี้เราก็มี "ครอบครัวที่ลัก" รออ่านอยู่อีก 1 เล่ม

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564

หาดสวยด้วย Trash Hero

ของขวัญปีใหม่ วันแดดร้อน ลมทะเลแรง ขอบคุณน้องนนท์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Trash Hero Songkhla ที่ให้ของขวัญปีใหม่ เป็นกระบอกน้ำ refill น้องนนท์บอกว่าให้ในฐานะที่เป็น "แกนนำ" ดีใจจัง เลื่อนตำแหน่งแล้ว
กิจกรรมของ Trash Hero มีทุกเดือนนะ เว้นช่วงไปแค่หน้าฝน 2 เดือนที่แล้ว ปีนี้ (24 Jan. 2021) เราเข้าร่วมกิจกรรมของ Trash Hero เก็บขยะชายหาด โดยมีนิสิตปี 3 ลี่หยุ่นและแฟน มาเข้าร่วมด้วย เธอทักมาทาง msg ทันทีเมื่อเห็นเราโพสท์ใน TSUWESTERN ุถามว่าเรามาไหม ทีมจากมหาลัยทักษิณ เลยมีกัน 3 คน ครั้งนี้ Trash Hero ร่วมกับนศ.กศน.ตำบลเขารูปช้าง จำนวน 23 คน (รวมพวกเรา) มาเก็บแถวลานดนตรี
เรามาตั้งแต่ช่วงแรกๆเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และพยายามจะมาร่วมทุกครั้งที่มีโอกาส คนร่วมเก็บของเรามักเป็นนิสิตทั้งไทยและเทศ และเพื่อนๆ แม้ไม่มีใครมา ก็มาหาเพื่อนเอาข้างหน้า อิๆ
หากเข้าร่วมเก็บขยะ 3 ครั้ง ส่งรูปไปที่เพจ FB: Trash Hero Songkhla ก็จะได้เสื้อไปใส่เท่ห์ๆด้วยนะ

ของหวาน(ปาก)ยามค่ำ

ร้านขนมร้านใหม่ที่พวกเราเริ่มติดใจ เวลาจุ๋มขับรถไปส่งที่เกาะยอ มักจะใช้เส้นทางวชิรา-ถนนเตาอิฐ-ถ.ติณสูลานนท์ ทำให้พวกเรา 3 สาวผ่านร้านขายขนมไทยๆ ชิ้นละ 3 บาท เมื่อก่อนที่ตลาดวชิรา ก็เคยมีร้านขนมข้างทาง ตอนเย็นๆแบบนี้ให้เลือกขนมชิ้นเล็กๆใส่ตะกร้า ยื่นให้แม่ค้าคิดเงิน ก็จะได้ขนมมากมายกลับไปกิน อิๆ เหมือนเป็นการชิมขนมซะมากกว่า เพราะว่ามาคำเล็กๆ แต่แบบนี้ล่ะถึงจะอร่อย เพราะมันมาจำนวนน้อยๆ ทำให้อยากกินอีก ทุกครั้งที่ผ่านพวกเราเลยมักจะแวะซื้อกัน ของโปรดเราคือ ถั่วกวน (อันดับ 1) มันกวน ข้าวเหนียวแดงแบบแข็งๆ ช่วงหลังเราหันมากินขนมหวานมากขึ้น เราเลยซื้อข้าวฟ่างกินด้วย เมื่อก่อนเราไม่กินข้าวฟ่างกวนเลยนะ เราว่ามันหวานมาก เม็ดขนุนก็ด้วย แต่ตั้งแต่ปีที่แล้ว เรารู้สึกตัวเองว่าชอบกินของหวานจัง และพอไปทำงานที่สนง.วิเทศ เราว่าเรากินได้เรื่อยๆ ตอนนี้พอเช็คนน. เราหนัก 45 kg. แล้ว ซึ่งไม่เคยหนักเท่านี้มาก่อน มันจะประมาณ 43-44 มาตลอด ! Oh, No! ว่าแล้วก็กินต่อ อิๆ
ตักบาตรตอนค่ำ เราพยายามจะ go green เลยทั้งพกกระบอกน้ำเวลาไปนั่งร้านกาแฟ และหากไม่เอาไป เราจะรู้สึกผิดกับการจ่ายเงินเพื่ออุดหนุน Green Peace มาก ตอนนี้เราพ่วงการพกกล่องข้าวมาไว้สนง.เวลาไปซื้อข้าวกล่องที่โรงอาหารมหาลัย และเมื่อวานก็พกกลับบ้านด้วย เลยได้ใส่ขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากรูปจะดูเหมือนตักบาตร อิๆ จุ๋มกำลังใส่บาตร ส่วนเราเปิดฝารับของที่พุทธศาสนิกชนให้

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2564

Every day a good day: Movie review

เมื่อเราจะยกเลิกการใช้ Netflix หลังจากสมัครเป็นสมาชิกมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 63 เดือนละ 219 B.เพราะรู้สึกว่าชักจะใช้เวลาดูหนังเยอะไปแล้ว อิๆ (ด้วยความกลัวไม่คุ้มค่าสมัครแต่ละเดือน) ก่อนวันที่ 14 Jan.2021 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการใช้ Netflix เราเลยมองหาหนังที่คิดว่าน่าจะหาจาก Youtube ดูได้ยากดูสักหน่อย เมื่อคืนเข้าไปอ่าน review หนังญี่ปุ่นเรื่อง Every day a good day (2561) และคิดไว้ในใจว่าจะดูเรื่องนี้ล่ะ เราไม่ได้ดูหนังญี่ปุ่นมานานแล้ว เพราะปันใจไปให้หนังอินเดีย และกลับมาดูซีรี่ย์เกาหลีทาง Netflix อยู่หลายเรื่อง อิๆ หนังญี่ปุ่นที่เราประทับใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ Jiro Dream of Sushi & the Last Recipe ซึ่งเรื่องหลังนี้ได้รางวัลออสการ์ด้วยนะ (ถ้าจำไม่ผิด) หลังจากนั้นเราก็ร้างลาหนังญี่ปุ่น จนมาดูเรื่องนี้ Every day a good day หนังตั้งชื่อดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เราว่ามันต้องเป็นหนัง feel good แน่ๆ ถึงเรื่องนี้ตัวแสดงไม่มาก (หนังญี่ปุ่นมักเป็นแบบนี้แฮะ ตัวละครน้อย และเล่นกับอารมณ์เป็นหลัก) และออกจะเป็นหนังเรียบเรื่อย แต่ก็ทิ้งอะไรให้คิดเอาไว้เยอะนะ เรื่องนี้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ พิธีชงชาไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ตัวเอก Noriko ผูกพันธ์ตั้งแต่วันแรกๆที่เข้าไปเรียนในวัย 20 ปี (ปี 3) จนเธออายุ 40 ปี ! (อะไรจะมั่นคงขนาดนั้น หากเป็นเราๆเปลี่ยนงานอดิเรกไปเป็น 10 เอ๊ย 100 แล้ว อิ ๆ ) เราเคยเรียน tea ceremony เมื่อตอนไปอบรม IATSS ที่เมือง Suzuka Prefecture ปี 2552 ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องนี้ เพราะรู้ขั้นตอนการชงชาอยู่บ้าง ว่าการกินขนมหวานก่อนจะทำให้ดื่มชาเขียวอร่อยขึ้น ดื่มชาเขียวที่ญี่ปุ่นอยู่เกือบ 2 เดือน แบบไม่หวาน และทำให้จำเพื่อนญี่ปุ่นบอกได้ว่าเมื่อเธอดื่มที่ไทย ชาเขียวไม่เป็นชาเขียว original เหมือนเธอกำลังดื่มน้ำหวาน ! พิธีชงชาดูมีมนต์ขลังและเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ สำหรับคนที่อยากฝึกความสงบทางจิตใจ การ focus ทำกิจกรรมบางอย่างเงียบๆ ครูของ Noriko สอนให้เธอ "ใช้มือพาไป" อย่าจำว่าต้องทำอะไร ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะเป็นธรรมชาติไปเอง มีฉากหนึ่งซึ่งเรารู้สึกร่วมมาก คือภาพน้ำตกซึ่งแทรกมาในช่วงที่นางเอกกำลังมองตัวหนังสือคันจิ waterfall แล้วเป็นรูปปาดพู่กันเหมือนน้ำตกกำลังไหลลงมา โอ้ การตัดต่อเยี่ยมมาก เรารู้สึกตามในทันที เรื่องนี้สำหรับเรามันสอนการอยู่กับธรรมชาติอย่างสงบ ฉากธรรมชาติและการเรียนรู้การชงชาให้ความรู้สึกสงบ เราได้รู้ว่าหนังบางเรื่อง ไม่ต้องหวือหวาให้หัวใจเต้นแรง แต่แค่ใจเต้นไปช้าๆ ก็มีความสุขได้ เรื่องนี้ยังทำให้นึกถึงเพลง something good in every day ของวงนั่งเล่น ซึ่งทำให้เรารู้สึกอารมณ์ดีทุกๆครั้งที่ได้ฟัง อารมณ์บวกก็จะมาในทันใด :) Remark: เรื่องนี้มาจากหนังสือชื่อเดียวกัน และ Noriko ตัวเอกของเรื่องคือผู้เขียน ! Credit:ภาพจากthe moviedb.org/movie/537152

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2564

มิโล แมวน้อยกระโดดไม่เป็น : Book Review ( Jan. 2021)

มิโล แมวน้อยกระโดดไม่เป็น: วรรณกรรมอิตาลี เขียนโดย: Costanza Rizzacasa d'Orsogna สนพ.อ่านอิตาลี ผู้แปล: นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ (2019) เราเพิ่งจะรู้จักหนังสือเล่มนี้จากน้องตาล บรรณารักษ์หอสมุด ซึ่งรู้ว่าเราชอบอ่านหนังสือวรรรณกรรมเยาวชน เพราะเวลาที่หาหนังสือวรรณกรรมเยาวชนในหอสมุดไม่เจอ เราก็มักใช้บริการ “เพื่อนช่วยหาหนังสือ” บริการดีๆ ของหอสมุด เมื่อวานไปรับหนังสือมาแล้ว หนังสือเล่มเล็กมาก ปกแข็ง หน้าปกน่ารัก เรากะว่าน่าจะอ่านจบระหว่างนั่งรถกลับบ้านจากมหาวิทยาลัย - บ้าน สัก 2 รอบ (นั่นหมายถึง 2 วัน) เย้! จบจริงๆด้วย ด้วยความที่เป็นเรื่องอ่านเพลิน ไม่ซับซ้อน แต่ให้แง่คิดที่หลายครั้งผู้ใหญ่อย่างเราหลงลืมไป เล่าย้อนไปหน่อยนึงว่าตอนเด็กๆเรามักอ่านวรรณกรรมเยาวชนญี่ปุ่นจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ (โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง สมุดพกคุณครู และวรรณกรรมเยาวชนของตะวันตก (เช่น ห้าสหายผจญภัย นิทานกริมม์ ) อ๊ะ ยังรวมนิทานอีสป นิทานเวตาล นิทานพื้นบ้านไทย ๆ (ซึ่งตอนเด็กหนังจักรๆวงศ์ๆ เสาร์อาทิตย์ รู้จักดีมาก ตั้งตารอ 8.00 น. เวลาของ “แก้วหน้าม้า” “หลวิชัย คาวี” อืม...สมัยเด็ก เราไม่ค่อยเห็นวรรณกรรมเยาวชนจากประเทศอื่นๆ อาจจะเพราะไม่ค่อยมีคนแปล โตขึ้นมาอี๊ก เมื่อเรียนภาษาอังกฤษ ก็ดั๊นมีนิสัยที่ว่าเมื่อรู้ภาษาอังกฤษระดับนึง ก็จะคิดว่าคนแปลวรรณกรรม / นิยาย แปลไม่ลื่น อ่านสะดุด ภาษาไม่สวย (ซึ่งให้ตัวเองแปลก็อาจจะแย่กว่า 55) เราเลยอ่านฉบับ original และเลิกบ่นเรื่องนี้ไปพักนึง เมื่ออ่านจบแต่ละเล่มก็จะภูมิใจไป 3 วัน 8 วัน (วรรณกรรมเยาวชนที่อ่านช่วงโต เช่น Matilda, แทบทุกเรื่องที่ Roald Dahl เขียน ซึ่งยังตามล่าหาอ่านให้ครบทุกเล่มอยู่จนตอนนี้) เรื่องที่ชอบมากและพบว่าวรรณกรรมของประเทศอื่นก็น่าอ่าน แต่น แต๊น...ก็จะเป็นวรรณกรรมสเปน เรื่องหอยทาก เดินช้า และกุ๊ชโฉ่ (อย่าลืมลองไปหาอ่านกันดูนะ) คนที่หาวรรณกรรมเยาวชนดีๆอ่าน ไม่ควรพลาด เขียนมาจะ 1 หน้า วนจะทั่วโลกแล้ว ก็ยังไม่ถึง “มิโล” อิ ๆ มิโล ทำให้เรานึกถึงแมวดำที่บ้าน ความเป็นแมวดำไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันน่ากลัว หรือนำโชคร้าย (ใครคิดแบบนี้เราว่าล้าหลังมาก) แต่จากเรื่องนี้ ความเป็นแมวดำ ทำให้ “มิโล” ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการสักเท่าไหร่ จนได้เจอแม่มนุษย์ผู้ใจดีเอามาเลี้ยง และคอยดูแล เด็กๆที่อ่านเรื่องนี้จะได้เห็นมุมความรักของคนเลี้ยงและลูก(แมว)เลี้ยงด้วยนะ เราว่ามันช่วยกล่อมเกลาให้คนอ่านรักสัตว์ แม้แต่สัตว์ที่ไม่น่ารัก เช่นแมงป่อง วัว มิโลมีวิธีคิดแบบเด็กๆมองบวก มีเพื่อนไปทั่ว และพยายามช่วยเหลือสัตว์ตัวอื่นๆที่มีปัญหา ปัญหาของมิโลมีแค่เรื่องความพิการที่ทำให้มันเดินโซเซ กระโดดไม่เป็น (อย่างชื่อเรื่อง) เพื่อนแต่ละตัวของมิโล มักมาพร้อมเรื่องชวนคิด เช่น วัว ซึ่งบ่นว่าคนมักชอบกินเนื้อวัว “ที่มีความสุข” ผ่านการเลี้ยงอย่างเอาใจใส่ แต่คนเหล่านั้นไม่คิดว่าวัวเหล่านั้นไม่น่าจะมีความสุข เพราะต้องถูกเอาน้ำนมไป แทนที่มันจะได้เก็บไว้เลี้ยงลูก หรือเลี้ยงมันอย่างดี แต่ก็เอามันไปกิน (อ่านถึงตอนนี้ ก็เห็นจริงด้วย เพราะเห็นads หลายอันที่บอกว่าเลี้ยงวัวอย่างดี ให้ฟังเพลง บีบนวดเต้านมให้แม่วัวมีความสุข พูดแล้วก็อยากกินมังสะวิรัติ เพื่อลดการฆ่าสัตว์นะเนี่ย) ส่วนแมว ที่คนเอาไปเลี้ยงดูเพื่อถ่ายรูปลง Instagram แต่แมวดำมักถ่ายให้สวยยาก ซ้ำคนถ่ายยังจับแมวเปลี่ยนท่าโน้นท่านี้ ถ่ายเพื่ออวดความน่ารักสัตว์เลี้ยงของตน แมวกลายเป็นผู้ประดับบารมี (อันนี้ก็จริง คนมีสัตว์เลี้ยง มักถ่ายภาพอวด และมีการซื้อแมวพันธ์ดีๆ ทำให้แมวจรจัด หรือแมวตามบ้าน ไม่ได้รับโอกาสได้รับการดูแล และหลายคนก็ทิ้งแมวเมื่อมันไม่น่ารักแล้ว (จริงอีก ! ตามวัด เยอะแยะไปด้วยแมวและหมา) เรื่อง “มิโล” เสียดสีมนุษย์และทำให้มนุษย์ดูเป็นตัวร้ายไปเหมือนกัน เหมือนเป็นการเล่าจากสัตว์เล็กๆ ที่พูดถึงผู้เลี้ยง และมนุษย์อีกแง่มุมที่น่าคิด เป็นเรื่องอ่านเพลินๆ ที่จบอย่างไม่รู้ตัว ----------------

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2564

OMG มันดีมาก

Oh My God (2012) หนังอินเดีย สำหรับคนที่ชอบหนังที่เอาไว้ถก ยกประเด็นศาสนาคุยกัน หลังจากเราดูเรื่อง PK ( ซึ่งออกฉายหลังเรื่องนี้อยู่หลายปี) และแนะนำเรื่องนี้ไปทั่ว ทั้งยังเอามาเป็นหนังให้นิสิตดูในชั้น และในกิจกรรม "เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านแผ่นฟิล์ม" นิสิตชอบเรื่องนี้กันมาก เวลาดู จะมีเสียงหัวเราะขบขันตัวละคร PK อยู่เป็นช่วงๆ เมื่อดูเรื่อง PK แล้วกลับมาดูเรื่องนี้ Oh My God มันให้ความรู้สึกคล้ายๆกัน กับการตั้งคำถามการมีอยู่ของพระเจ้า PK ตามหาพระเจ้าเพราะของสำคัญที่จะนำพาตัวเองกลับดาวดวงที่จากมาถูกขโมยไป ส่วนตัวเอกใน OMG ไม่ศรัทธาในพระเจ้า (เรียกว่าเป็น antheist) ต้องการฟ้องพระเจ้าที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว จนร้านของตนเองพังเสียหาย เพราะเมื่อไปขอเงินประกันจากบริษัทประกันๆบอกว่าไม่จ่ายในกรณีที่เกิดจาก the act of god ทำให้ตัวเอกต้องฟ้องร้องผ่านศาล ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อศาสนาต่างๆที่ถือว่าเป็น agent ของพระเจ้า ทั้งสองเรื่องนี้ บทคมมาก ดูไป ฟังไป ก็จะพยักหน้าเห็นด้วยตามเป็นระยะๆ บทสรุปของทั้ง 2 เรื่องก็ดีมาก เราว่าคนทุกศาสนาดูได้ ดูแล้วก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกขัดแย้ง และที่สำคัญที่เราจับได้จากเรื่อง OMG คือ พระเจ้า (ของทุกศาสนา) อยู่ในใจ ไม่ต้องมองหาในสิ่งก่อสร้าง วัด สัญลักษณ์ มันอยู่ในคนด้วยซ้ำ มองหาและศรัทธาจากหัวใจ อย่างมงาย หนังสองเรื่อง (รวมทั้งหนังอินเดียส่วนใหญ่) ยาวกว่าหนังทั่วๆไป 2 hr. เป็นอย่างต่ำ แต่เพราะมันเป็นหนังดี ทำให้ดูและลุ้นไปจนจบ OMG พอเรารู้ว่าเป็นเรื่องที่คนฟ้องพระเจ้า ตอนแรกก็ไม่อยากดู คิดนำไปก่อนแล้วว่า "เว่อร์ น่าจะไร้สาระ" แต่กลับได้สาระเพียบ และเรารู้สึกว่า "อย่าตัดสินใจจากการได้ยินหรือคิดไปก่อนว่าน่าจะเป็นแนวนั้น แนวนี้" ให้ดูก่อน แล้วค่อยวิจารณ์ เพราะไม่งั้นจะเรียกตัวเองไม่ได้ว่าเป็นคน "เปิดใจ" เรียนรู้ รับรู้สิ่งใหม่ๆ อิๆ ยิ่งทึ่งเมื่อรู้ว่า OMG มี producer คือ Akshay Kumar ดาราอินเดียคนโปรดของเรา ที่เราหาหนังของเขาดูอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Pad Man, Toilet , Singh is Bling, Namaste London, Tees Ma Kan, Entertainment ----- Credit ภาพจากโปสเตอร์อย่างเป็นทางการของบริษัทหนัง

ทำอะไรดีปีใหม่ 2564

ปีใหม่ 2564 ล่วงเข้าวันที่ 2 COVID-19 ก็ยังอยู่ ครบรอบมีค.นี้ มันก็จะอยู่มาครบ 1 ปี และยังสร้างความหวาดหวั่นไปทุกวงการ โรงเรียนจำนวนมากในกท.ปิดนำไปก่อนแล้วเมื่อกลางธันวา 63 ส่วนมหาลัยเราแจ้งให้สอนวิชาภาษาอังกฤษทั่วไป ตั้งแต่ 4-17 Jan. 2021 แล้วค่อยดูสถานการณ์ต่อว่าจะสอน online / on site เราใช้เวลาวันหยุด 31 Dec. - 3 Jan. อยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ พยายามทำให้ดูเป็นช่วงปีใหม่ ด้วยการลุกขึ้นมาจัดห้อง ซักผ้า ถูบ้าน (Marie Kondo ก็มาเป็นระยะๆ อิๆ) อากาศเย็นสบายช่วงนี้ ท้องฟ้าอาจจะมืดบ้าง แต่ตากผ้า ได้ลมช่วย ทำให้ผ้าห่มแห้ง นอนหลับสบาย หนังสือนิยายรับปีใหม่ มังกรพรางรัก
เราอ่านหนังสือนิยาย "มังกรพรางรัก" ของเก้าแต้ม จบไปแล้ว นิยายสนุกมาก เป็นเชิงสืบสวน สอบสวนฆาตกรรมอำพราง (Serial killer) เราไม่ค่อยอ่านนิยายของเก้าแต้มสักเท่าไหร่ ซึ่งพบว่าเราน่าจะคิดผิดที่ตัดสินจากการอ่านปกหลัง (หลายเรื่องของเธอมักเขียนย้อนยุค ผู้ชายเป็นเจ้า ฐานะดี ซึ่งยังไม่ค่อยถูกจริตด้านการอ่านของเรา แต่ช่วงหลังมานี้เราอ่านแนวนี้ เลยยืมห้องสมุดมาอ่าน และก็ดีจริงๆ แนะนำๆ (เก้าแต้มเคยเขียน "คุณชายพุฒิพงค์" หนึ่งในคุณชายตระกูลจุฑาเทพ ที่เคยเป็นละครโด่งดังทางช่อง 3 นำแสดงโดยเจมส์ จิรายุ Short Cuts to Happiness
เรื่องนี้ดีจนต้องเลือกมาเป็นหนังสือนอกเวลาของวิชา Analytical & Critical Reading ปี 2 เทอม 2/2020 ในภาวะที่อารมณ์คนเราดำดิ่งและกังวลกับสถานการณ์โควิด -19 เราว่าคงจะดีหากเลือกเรื่องอ่านเชิงบันดาลใจให้นิสิต ให้ได้คิดไปกับมัน และไม่มองแต่เรื่องตนเอง

Don't let everyone interrupt your dream: Book review

The last book of the year 2020: อย่ายอมให้ใครเหยียบฝัน เราได้หนังสือเล่มนี้มาจากห้องสมุดประชาชน มันดีมากนะ แนะนำให้หาอ่านกันถ้าชอบแนวตัวอย่างชีวิตที่ดีได้เพราะความพยายามและความรักต่อสิ่งที่ทำ 19 เรื่องของชาวญี่ปุ่นตัวเล็กๆที่ฝ่าฟันอุปสรรคและมุ่งไปข้างหน้า ทุกเรื่องน่าประทับใจพอกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณครูที่พยายามสอนเด็กสาวขี้เกียจคะแนนต่ำเตี้ยให้สนุกกับการเรียนรู้และสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากๆของญี่ปุ่นได้ ! เรื่องของหมีคุมะมง แก้มแดง ที่เราเพิ่งรู้ว่าเป็นไอเดียของแถมจากการขายดีไซน์โปรโมทจังหวัดการท่องเที่ยว จนดังไปทั่วโอซาก้า และดังต่อเนื่องในหลายประเทศ หมีอารมณ์ดีคุมะมงถูกทำออกมาถึง 3,000 แบบ และเลือกออกมาเป็นแบบเดียวที่พวกเรารู้จักกันดี (ต้องทำเยอะขนาดนี้ไหม:) คนดังญี่ปุ่นที่เรารู้จักจากหนังและเป็นคนคล้ายๆกับข้างต้นคือคุณลุงซูกิยะบาชิ จิโร่ ขายซูชิ ที่ทำซูชิทุกวันอย่างไม่รู้เบื่อ และพยายามพัฒนาซูชิให้ดีขึ้นทุกวัน จนเรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมาเป็นหนัง (แต่เมื่อถาม Yuka เพื่อนญี่ปุ่นว่ารู้จักหนัง Jiro Dream of Sushi (2011) เรื่องนี้ไหม เธอไม่รู้จัก (อ้าว!) คุณลุงเขาดังไกลมากๆนะ เรารู้มาว่าร้านคุณลุงได้รับรางวัลมิชลิน และต้องจองคิวไปกินกันเป็นปีเลยทีเดียว