วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

Romantic Bali (1)






บาหลีเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งมักถูกจัดอันดับให้เป็นสถานที่หนึ่งในดวงใจที่หลายคนอยากไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
เมื่อก่อนการไปบาหลีเป็นเรื่องของคนมีอันจะกิน เพราะค่าตั๋วเครื่องบินแพง
แต่เดี๋ยวนี้เมื่อการมีสายการบิน low cost ทำให้ราคาถูกลง ทุกอย่างเลยเป็นไปได้ การไปบาหลีไม่ใช่เรื่องจำกัดวงแต่คนมีเงินอย่างเดียวอีกต่อไป
เราจองตั๋วเครื่องบินไปบาหลีไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้วเมื่อเห็นโปรโมชั่นไปกลับจากมาเลเซีย
 แค่ 4,300 .
อ๋อยก็เคยไปแล้ว โอ๋ไม่ชอบเดินทางไกลเพราะมีภาระน้องหมาน้อย มดก็ขอเว้นวรรคเรื่องเที่ยวเพื่อเตรียมจบป.โท มหาลัยวลัยลักษณ์ แต่อีกคนที่ไม่ค่อยปฏิเสธเรื่องเที่ยวเวลาเราชวน และเที่ยวได้ทุกรูปแบบ คือ ดา อดีตนิสิตเอกอังกฤษ ซึ่งตอนนี้ไปเป็นคุณครูอยู่ที่ภูเก็ต
ดาใช้เวลาคิดไม่นาน ก็ตัดสินใจไปไหนไปกัน
ตามประสาคนเป็นครู เวลาสะดวกที่สุดคือช่วงเม.. เลยกำหนดฤกษ์ดีแบบไม่ต้องดูฤกษ์ยาม วันที่ 22-26 เม..54
โชคดีมดเปลี่ยนใจเมื่อเดือนมีค.และตัดสินใจลากแมนไปด้วยกัน ตอนนี้ตัวหารค่ารถแท็กซี่เพิ่มขึ้นแฮะ
ดากับเรามาถึงสนามบินโดยมดกับแมนซึ่งบินตรงมาจากภูเก็ต-บาหลี มารอรับตอน 4 ทุ่ม มี Mr. Dewa คนขับแท็กซี่และไกด์จำเป็นพาพวกเราไปยังที่พักที่เมือง Ubud เมืองขึ้นชื่อเรื่องความเป็นธรรมชาติ

Brata Homestay 1, Ubud




ที่ พักตามคำแนะนำของเจ้ย เห็นครั้งแรกมดกับดาบอกว่าเหมือนวัดมาก ออกแนววังเวง แต่เราชินกับวัด และบรรยากาศเงียบๆเลยไม่รู้สึกอะไรมาก เมื่อข้ามประตูวัด เอ๊ย ไม่ใช่ ประตูhomestay เข้ามา ก็เป็นห้องพักสไตล์บ้านเป็นหลังๆเหมือนวิลล่า




ภาย ในบริเวณมีศาลาประกอบพิธี และมีสวนสไตล์บาหลีแบบที่มีรูปปั้นเทพเจ้าเต็มไปหมด ห้องพักก็กว้างขวาง จะขาดก็แต่อุปกรณ์อาบน้ำเช่น ผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสระผม หมวกอาบน้ำ  
จ่ายค่าห้องคืนละ 150,000 Rupiah หรือประมาณ 525 .





อาหารเช้าของที่นี่คือ ผลไม้(แตงโม สัปปะรด มะละกอ หั่นมาในถ้วยไอติม)  แซนด์วิชกล้วย ชา/กาแฟ
แซนด์วิชอร่อยดีแฮะ ไว้เราจะทำกินเองบ้าง ง่ายจัง แค่หั่นกล้วยเป็นชิ้นๆ วางบนขนมปัง แล้วเอาอีก 1 แผ่นประกบ นำไปเข้าเครื่องทำแซนด์วิช ก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟ





กินอาหารเช้าแกล้มการทำพิธี offering ของเจ้าของบ้าน โดยเค้าจะนำของเซ่นไปวางตามจุดต่างๆ เช่นหน้าเทพเจ้า หรือหน้าบ้าน แล้วประพรมน้ำมนต์ลงแถวนั้น


สอบถามได้ความว่าคนบาหลีเชื่อว่าในทุกอย่างมีเจ้าของ ( spirit) ดังนั้นเพื่อความสุข สบายใจ ก็ต้องเซ่นไหว้เพื่อให้ท่านคุ้มครอง และทำให้ธุรกิจรุ่งเรือง




เวลาไปเดินตามร้านค้า เราสังเกตเห็นว่าเมื่อแม่ค้าว่าง พวกเค้ามักจะนั่งทำกระทง offering กัน ไกด์เล่าให้ฟังว่าคนที่นี่มีความเป็นศิลปะในตัวกันทั้งนั้น ผู้ชายมักแกะสลักได้ ส่วนผู้หญิงอย่างน้อยก็ทำเครื่อง offering เป็น








Offering เป็นกิจวัตรที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวบาหลี นอกจากตอนเช้าที่ต้องทำที่บ้านแล้ว หากที่วัดมีพิธี Offering Ceremony ก็จะเห็นภาพความสวยงามของผญ.ซึ่งเทินตะกร้า offering ไปวัด และภายในวัดผู้หญิงก็จะเล่นดนตรีพื้นบ้านขับกล่อมการทำพิธีที่ศาลา ทั้งวงเป็นนักดนตรีผญ.ในชุดย๋าหย๋าหมดเลย




การแต่งกายของเค้าช่างอนุรักษ์นิยม แต่งชุดสไตล์ย่าหย๋า(ตามคำบอกเล่าของดา การแต่งตัวของสาวภูเก็ตสมัยก่อนก็เป็นแบบนี้) ที่นี่ผญ.จะ สวมผ้าถุงและเสื้อฉลุลาย โดยสวมเสื้อทับไว้ข้างใน เราว่ามันดูบางๆ แต่เมื่อสาวบาหลีแต่งแบบนี้กันทุกคนไม่เว้นลูกเล็กเด็กแดง หรือวัยรุ่น วัยชรา มันทำให้ดูเป็นเรื่องธรรมดา

ไม่ เหมือนคนไทยที่แต่งตัวชุดไทยก็ตอนวาระสำคัญมากๆ เช่นงานแต่งงาน หรืองานพิธี โดยทั่วไปไม่มีใครใส่มาเดินท้องถนนกัน เราก็มีชุดไทยกับเค้าด้วยเหมือนกัน ตัดอย่างดีเพื่อการไปญี่ปุ่น ใส่แค่ 2 ครั้ง ไม่คุ้มค่าตัดชุด เอากลับมาสงขลาพยายามประกาศว่าหากใครสนใจยืมชุดไปใส่ มายืมได้เลย แฮ่ อยากใช้ชุดให้คุ้ม แต่หุ่นอย่างเราหาคนยืมได้ยาก ปุ๊ยืมไปใช้งานมหาลัยแค่ 1 ครั้ง (คุ้มมั๊ยเนี่ย)
The Sacred Spring Tirta Empul

  




ที่แรกของทริปนี้คือการไปสังเกตการณ์ชำระล้างเพื่อจิตใจที่บริสุทธิ์ที่วัดฮินดู (ชาวบาหลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู )



เค้าไปชำระร่างกายกันโดยไม่แยกหญิงชาย เราถามไกด์ว่าทำไมไม่แยก (ยุ่งอะไรกับเค้าอ่ะ )
Dewa อธิบายว่าเพราะมันไม่ใช่การอาบน้ำแบบ take a bath และไม่ได้ใช้แชมพู สบู่ แต่เป็นการมารับน้ำศักดิ์สิทธิ์เลยไม่จำเป็นต้องแยกหญิงชาย หลังจากลงบ่อน้ำแล้วก็จะขึ้นมาขอพรอีกครั้งหนึ่ง

ก่อน เข้าวัดที่บาหลีเป็นธรรมเนียมว่าต้องนุ่งโสร่งหากสวมกางเกงขาสั้น และใช้ผ้าคาดเอว และใช้วิธีการบริจาคกับการยืมโสร่งและผ้าคาดเอวแทน ไปที่ไหนๆก็ต้องทำแบบนี้พร้อมบริจาค บางที่ไม่บังคับว่าต้องบริจาคเท่าไหร่ แต่บางที่ก็บอกราคาตายตัว (แล้วมันจะเรียกบริจาคมั๊ยเนี่ย)
ใส่ผ้าถุงแล้วเผลอนึกว่าตัวเองหลงยุค ย้อนเวลา (ทั้งๆที่ตอนอยู่ที่บ้านใช้บ่อย อิๆ ) เดินไปเดินมาเกือบเหยียบชายผ้า หน้าคะมำ 55 สันทัดอย่างแรง


เพื่อมารยาทของนักท่องเที่ยวที่ดี เรามักจะสอบถามก่อนว่าถ่ายรูปได้มั๊ย Dewa จะเป็นคนบอกว่าได้รึเปล่า
 แต่ ส่วนใหญ่ถ่ายได้หมด และเมื่อพวกเราขอถ่ายรูปกับชาวบาหลีเค้าก็อนุญาต (แฮ่ม แอบทำตัวกลมกลืนเพราะหน้าตาให้ เวลาเดินในตลาด มีแต่คนพูดภาษาบาหลีใส่ อ๊ากหนูฟังไม่รู้เรื่องน๊า )








วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปเป็นชาวบางกอกช่วงsummer



เราไปท้องฟ้าจำลองเป็นครั้งที่ 2 ระยะห่างกันเกือบปี คราวที่แล้วไปผิดเวลาเพราะไม่ทำการบ้านล่วงหน้า
 ทำให้เข้าชมท้องฟ้าจำลองตามรอบไม่ทัน ปีนี้เมื่อขึ้นกทม.อีกครั้งเลยชวนโอ๋ไปทำ mission เดิมให้สำเร็จ ฮี่ๆ





ดูจากอินเตอร์เน็ต ท้องฟ้าจำลองเปิดเป็นรอบๆ รอบสุดท้ายคือ 14.30 . คราวนี้เลยมากันก่อนเวลา
ค่าตั๋วถูกมาก 30 บาท แถมหากจัดเวลาดีๆก็ยังได้ดูหนังสารคดีตะลุยดาวอังคาร 3 มิติ (ความยาวประมาณ 10-15 นาที) ด้วย


เรียกว่าคุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว


มาแล้วก็ต้องไปแชะรูปที่เดิม 1 ปีผ่านไป USA ก็ใกล้แค่เอื้อม :-)

เอ่อเข้า ใจแล้วว่าทำไมพี่เคน ธีรเดช ในเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอถึงหลับเมื่อเข้าท้องฟ้าจำลอง เนื่องจากบรรยากาศมืดๆ ดาวเต็มท้องฟ้า มีคนบรรยายเล่าเรื่องดาวต่างๆทำเสียงสูงเสียงต่ำ กล่อมนอนนี่เอง ช่วงแรกๆเราพยายามฟังเรื่องดวงดาวต่างๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจ แฮ่.... ปนพยักหน้าไปมา คร่อก


ความรู้สึกของการเห็นดาวเต็มท้องฟ้าในกทม.ช่างน่ามหัศจรรย์ เพราะกทม.ยามค่ำคืนมีแต่แสงสว่างจากไฟฟ้า จำไม่ได้ว่าเราเคยเห็นดาวที่กทม.รึเปล่า แหงนมองฟ้าทีไหนเห็นแสงสว่างปรุงแต่งทั้งนั้น คนรักธรรมชาติอย่างเราเลยไม่ค่อยปลื้ม อิๆ


เราชอบเวลาออกค่ายตามชนบท กลางคืนสามารถโรแมนติคแบบเดี่ยวๆได้เลย เพราะท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาว
ร่ำๆ ว่ากลับมาจะทบทวนความรู้เรื่องดาวลูกไก่ ดาวไถ ฯ เพราะจำไม่เคยได้ หาไม่เจอว่าดวงดาวไหนเป็นดาวอะไร ( ความรู้ที่เรียนตอนประถมเท่าหางอึ่ง ถึงตอนนี้ไม่เหลือแล้ว)

ก่อนไปดูท้องฟ้าจำลอง เราพยายาม search อินเตอร์ เน็ตจากห้องโอ๋ว่าควรเที่ยวที่ไหน ที่พวกเราตกลงปลงใจไปร่วมกันได้ เราอยากไปดูการทำบาตรที่ชุมชนบ้านบาตร แต่โอ๋บอกว่ามันคนละทางกับท้องฟ้าจำลอง ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง


งั้น search ต่อ
Search คำว่าเที่ยวกทม.ใน 1 วัน สถานที่ในเน็ตแนะนำมักเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเราไปแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น museum siam พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พิพิธภัณฑ์เรือราชพิธี นิทรรศรัตนโกสินทร์ Bangkok Art Gallery
พิพิธภัณฑ์สวนผักกาด พิพิธภัณฑ์จิม ทอมสัน


ประเภทวัดแนะนำ เช่น วัดพระแก้ว วัดโพธ์ วัดอรุณ ภูเขาทอง ก็ไปมามากกว่า 1 ครั้งแล้ว
สถานที่ที่นักท่องเที่ยวฝรั่งมักไปอย่าง พระตำหนักวิมานเมฆ พระที่นั่งอนันตสมาคม ก็ไปแล้ว
สวนสัตว์ดุสิต ก็แล้ว


เรียกว่าที่แนะนำไว้ในเว็บ ไปเกือบครบแล้วอ่ะ

แล้วเราจะไปไหนดีๆๆๆๆๆ


โชคดีที่โอ๋ชวนไปกินข้าวอย่างคนมีฐานะ(ยากจน)ที่ Food Court ห้าง Siam Paragon
อิๆ ข้าวราคาจานละไม่แพงก็พอหากินได้ เราเลยได้มีโอกาสดูฟรีคอนเสิร์ต Siam Paragon Islander Summer Aloha + South Pacific Island Show ที่หน้าห้าง เห็นชื่อนักร้องลุลาก็ดี๊ด๊า  อยากฟังเพลง
อีกวันนึงเป็นพี่ปั่น ไพบูลเกียรติ


เพลงฟังสบาย สไตล์หน้าร้อนคงต้องเป็น 2 คนนี้ วันพฤ.ดูจากตารางแสดงเป็นลุลา เลยรีบมากันตั้งแต่ 6 โมงเพื่อมาฟัง ตุ๊กตาหน้ารก เอ๊ย หน้ารถ



อ้าว... กลายเป็นคอนเสิร์ตพี่ปั่นซะงั้น ไม่เป็นไร หยวนๆ(ของฟรีอ่ะ อย่าคิดอะไรมาก แถมพี่ปั่นก็ร้องเพลงเพราะแถมแสดงหนังก็ดี ฟังได้ค่ะ ฟังได้)


เวลามากทม. เรา จะแอบนึกแบบคนต่างจังหวัดว่าหากเจอดาราก็ดี อยากเห็นๆว่าตัวจริงเหมือนกับในทีวีมั๊ย แต่เดินตามห้างก็ไม่เห็นเจอ ที่ๆมักเจอกลับเป็นจตุจักร


I Love CW




ก่อนไปดูคอนเสิร์ต โอ๋กับเราเดิน sky walk ไป Central World กัน ผ่านป้าย นู่น นี่ นั่น ช่างเหมาะกับการเอาไปลง FB


โอ๊ะ... นั่นกระเป๋าใบใหญ่ เอาไป USA




ว้าว...ไปอีกหน่อย มีตู้เสื้อผ้าให้ลองใส่เสื้อผ้ายี่ห้อดัง FCUK ที่ห้างจัดไว้ด้วย ไปยืนๆอ่าน เค้าบอกว่าหากอยากได้รางวัลให้ upload ภาพที่ถ่ายตรงนี้ไปขึ้น FB คนใดที่ได้รับการกด like มากที่สุดจะได้ของรางวัลจาก FCUK







บอกโอ๋ว่าหากเราบังคับเพื่อนๆที่มีใน FB ประมาณเกือบ 500 คน เราอาจจะได้รางวัลนี้
 ฮี่ๆแต่คงเป็นการฝืนใจมิตรรักแฟนเพลงกันมากเกินไป เลยบ่ได้ทำ





ห้างนี้มีดีกว่าที่คิด เพราะเดินไปเดินมาเราก็เจอเทศกาลปล่อยแสง 100 ร้อยคน 100 คิดทำกิน ตอนที่อ่านจากหนังสือ A Day เราอยากเห็นมาก เนื่องจากเป็นโครงการแนวความคิดสร้างสรรค์ ที่เลือกคนที่มีอิทธิพลในวงการสื่อสร้างสรรค์จำนวน 100 คน เสนอไอเดียว่าใครหรือสิ่งไหนที่ทำให้เค้าชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์
 และนำสิ่งของนั้นมาจัดแสดง พร้อมทั้งมีคำอธิบายบอกเหตุผลว่าทำไมถึงชอบคน/สิ่งของนั้นๆ





จ่าเฉย ซึ่งเป็นหุ่นตำรวจปลอมที่กทม.ถูกเลือกโดยคุณทรงกลด บางยี่ขัน บก. A Day เนื่องจากเค้าคิดว่ากรมตำรวจช่างกล้าคิด(ได้ไง) เอาหุ่นมาตั้งเพื่อให้คนกลัวการทำผิดกฎจราจร มีที่เดียวในโลกนะเนี่ย


บางคนเลือกพี่เบิร์ดเพราะเป็นต้นแบบของคอนเสิร์ตผสมจินตนาการ ดังนั้นสิ่งที่นำมาจัดแสดงคือ บันทึกการแสดงคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดๆ Oh My God รื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็กของเราขึ้นมาทันที


บาง คนเลือกเจ๊อ้อย แม่ค้าข้าวเหนียวหมูคนสู้ชีวิต ซึ่งสามารถพลิกแพลงเพื่อให้ตรงใจลูกค้าและขายได้หลายความต้องการ เลยเกิดข้าวเหนียวหมูฝอย หมูทอด หมูกรอบ หมูแผ่น ในร้านเดียว





มีคนนึงเลือกเพลงไข่เจียว ของเฉลียง ( เฉลียง ได้รับการโหวต 2 ครั้ง คือนิ้วกลม เลือกวงเฉลียง กับ เพลงไข่เจียว) อุปกรณ์ประกอบเลยเป็นร้านขายไข่เจียว

"รับไข่เจียว(ไหม้ๆ)ซักลูกมั๊ยคะ ?"
ปิดท้ายด้วยกระจกคำคม Love of beauty is taste. The creation of beauty is art.
( ความรักในความสวยงามคือเรื่องของรสนิยม แต่การสร้างสรรค์ความสวยงามคืองานศิลปะ)




หมายเหตุ ขอบคุณโอ๋ สำหรับที่พักแรมทางให้คนแดนใต้และเป็นไกด์พาเที่ยวห้าง (หากเป็นสถานที่เที่ยวอื่น เธอมือใหม่พอกัน :-)







วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ผ้าพันคอกับความภูมิใจในชีวิต

เรากำลังจะขึ้นกทม.วันที่ 15 เมย.นี้
เวลาเดินทางนอกจากการแพ็คกระเป๋าแล้ว สิ่งที่เรามักจะพิถีพิถันเป็นพิเศษคือการเลือกหนังสือ
เมื่อไม่นานมานี้ เราสะดุดกับคำว่า passport (หรือหมายถึงหนังสือเดินทางในภาษาไทย)
สำหรับเราหนังสือเดินทางไม่ได้หมายถึง passport อย่างเดียวแต่ยังหมายถึงหนังสือที่เราพกติดตัวเพื่อฆ่าเวลาด้วย
เรา มักจะเลือกหนังสือที่เบาๆ แต่เวลาเอาหนังสือเบาๆไปก็เกรงว่าจะอ่านจบเร็วเกินไป ( แน่ะ...ไปเดินทางหรือไปเปลี่ยนที่อ่านหนังสือเนี่ย ) เราเลยต้องพกหลายๆเล่มเผื่ออ่านเล่มนี้จบจะได้อ่านเล่มใหม่ต่อ
นอกจากหนังสือ ก็พกไดอารี่ ( อันนี้เอาไปเพราะติดว่าจะต้องจดนู่นนี่นั่นและหากอ่านหนังสือจนจบก็จะได้มีอะไรทำต่อ)

แต่น แตน แต๊น
ตอน นี้เรามีของเล่นใหม่แล้ว แฮ่ม...คือการพกไหมขนแกะ อุปกรณ์การปักไหม และเข็มปักเบอร์ 3 เพราะเรามีเป้าหมายว่าจะถักผ้าพันคอให้เสร็จภายในสงกรานต์และเอาไปทำต่อเวลา ฆ่าเวลารอรถ / เครื่องบิน
เราเริ่ม เห่อการทำเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แฮ่ จริงๆแล้วซื้อไว้ก่อนปีใหม่เพราะเคยตั้งใจเอาไว้ว่าแต่ละปีจะต้องหัดทำอะไร แปลกๆที่ไม่เคยทำให้เป็นซักอย่าง เมื่อ 2-3 ปีก่อนตั้งไว้ว่าจะหัดว่ายน้ำ จนพอว่ายป๋อมแป๋มได้แล้ว
ก่อนช่วงปี ใหม่ 54 เราไปเดินตลาดทรัพย์สิน เจอพี่คนขายเค้านั่งถักผ้าพันคอพร้อมสอนฟรี (หากซื้ออุปกรณ์) เราเลยตาโตซื้อและก็ให้พี่เค้าหัดให้
กะจะเอาเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเอง อิๆ
แต่ คนอย่างเราเห่ออะไรไม่นาน เลยเอามาตั้งเอาไว้ จน 4 เดือนผ่านไปไวยังกะโกหก แฮ่ เราเห็นพี่ๆน้องๆที่สนง.เลขาคณะมนุษย์ฯนั่งปักผ้าพันคอ
เราเกิดอาการกำเริบ และระลึกชาติได้ว่าเราก็มีนี่นา  งั้นก็เอามาทำดีฝ่า
เอ่อ...ปัญหาคือลืมไปแล้วว่าทำยังไง
โชคดีได้ผู้ช่วยคือจุ๋ม เพราะแค่เอ่ยปากว่าตอนนี้เราอยากทำผ้าพันคอ จุ๋มก็ควักของจุ๋มมาให้ดู
โอ๊ะโอ  จุ๋มก้าวหน้ากว่าเราอีกอ่ะ เริ่มทำตอนไหนก็ไม่รู้ ทั้งที่ยุ่งกับการขายของ+เลี้ยงแบม
ทำเสร็จแล้วด้วย
เราเลยให้จุ๋มสอนลายง่ายๆให้เรา แล้วก็เลือกไหมขนแกะจากร้านจุ๋มมาหัดทำ







ทำเพลินมากๆ เมื่อวันอาทิตย์เราผ่านหน้ามหาลัยเห็นนิสิตกำลังแพ็คของช่วยผู้ประสบภัยน้ำ ท่วมภาคใต้ เพื่อการเป็นอาจารย์ด้านบำเพ็ญประโยชน์ที่ดีเลยรีดไถจุ๋ม เอ๊ย ม่ายช่าย ร่วมกันกับจุ๋มเอาเงินลงไปบริจาค
พอจุ๋มกลับ เราก็มาที่ซุ้มเพื่อช่วยแพ็คของ แต่ว่าไม่มีถุงพลาสติกเหลืออ่ะ เลยต้องนั่งรอถุงแพ็คของ




เพื่อไม่ให้การปักผ้าขาดตอน เราเลยงัดขึ้นมาทำซะเลย เพื่อการสร้างภาพของผู้หญิงเรียบร้อยอย่างเรา ( คิดเอาเองตลอด คิกๆ)

ตกกลางคืนเรานั่งทำจนถึงตี 1 รายการทีวีที่ไม่เคยดูวันนั้นดูจนหมด
เพิ่งรู้ว่ารายการที่นี่หมอชิต มอส+ภรรยา ออกรายการ เอาฟะ ถึงจะโฆษณาเยอะมาก ก็ดูซะหน่อย
นั่งปักผ้าพันคอไปด้วย ตาจะได้ไม่ร้อนผ่าวๆด้วยความอิจฉาแฟนมอส 55
-------------------------------------------------------------