วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

กว่าจะเป็นว่าที่ “เด็กนักเรียนทุน"







การได้รับทุนแลกเปลี่ยนในต่างประเทศเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับทุกคนและบางคนก็ไม่เคยคิดที่จะสมัครด้วยซ้ำซึ่งดิฉันหนึ่งในกลุ่มคนที่ว่านั้น ดิฉันเป็นเพียงนิสิตที่ตั้งใจเรียนคนหนึ่ง ทุ่มเทให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว เพียงเพราะคิดว่าผลของการพากเพียรจะทำให้ดิฉันได้เกรดที่ดีและได้ทำงานที่มีหน้ามีตาในสังคมต่อไป

                ทัศนะการมองชีวิตของดิฉันได้เปลี่ยนไปหลังจากดิฉันมีโอกาสพบกับผู้หญิงคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็น    “แรงบันดาลใจ” ให้ดิฉันเปลี่ยน เปลี่ยนจากเด็กเรียนคนหนึ่ง มาเป็นคนกล้า กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะยอมขาดเรียนในบางครั้งเพื่อรวมกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์นอกห้องเรียน ประสบการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

                .ดิญะพร  ผู้ซึ่งเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของดิฉัน โทรศัพท์มาบอกดิฉันเกี่ยวกับทุน Global Undergraduate Exchange Program ของ Department of Cultural and Educational Affairs แห่งสหรัฐอเมริกา ความคิดแรกตอนนั้นคือไม่อยากจะสมัคร เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสเป็นหนึ่งในห้าของผู้โชคดีได้รับทุนไปศึกษา ณ สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 1 ภาคเรียน หรือ 1 ปีการศึกษา แต่ด้วยแรงกระตุ้นจากอาจารย์ดิญะพรและความกล้าบ้าบิ่นที่มีอยู่ลึกๆ ในตัวดิฉัน ดิฉันตัดสินใจสมัครโดยได้รับคำแนะนำและความอนุเคาระห์อย่างดียิ่งจากอาจารย์ดิญะพร  และอาจารย์ท่านอื่นๆ ในสาขาภาษาตะวันตก  

             
ดิฉันเริ่มต้นจากการดาวโหลดใบสมัครผ่านเว็บไซต์ของ fulbright (www.fulbrightthai.org) ดิฉันกรอกใบสมัครได้อย่างสบายๆ เพราะดิฉันมีทุนเดิมคือกิจกรรมเพื่อส่วนรวมไว้พอสมควร พอที่จะนำมาใช้อ้างอิงในใบสมัครได้ นอกจากนั้นดิฉันได้เขียนเรียงความภาษาอังกฤษตอบคำถามตามใบสมัคร 3 เรื่อง ซึ่ง 2 ใน 3 หัวข้อที่ว่านั้นเป็นการเขียนแสดงความคิดเห็นและประสบการณ์ในการทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมและอีกหัวข้อคือการเตรียมตัวในการไปใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อน ณ สหรัฐอเมริกา ซึ่งดิฉันก็เขียนในแนวคิดที่ว่า การทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นของดิฉันจะช่วยให้การใช้ชิวิตกับเพื่อนต่างชาติ ต่างวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี จากนั้นเอกสารใบสมัครของดิฉันถูกส่งผ่านทางคณะและทางคณะก็ทำเรื่องส่งต่อให้เองค่ะ     กับคณะกรรมการในกรุงเทพมาหานคร โชคดีของดิฉันที่มีโอกาสผ่านรอบสัมภาษณ์เข้าสู่รอบ 10 คนเพื่อสอบ TOEFL  เพื่อคัดเลือกให้เหลือเพียง คนในรอบสุดท้าย ในตอนนั้นดิฉันทั้งดีใจและกลัว เพราะมันเป็นการสอบที่ยากมาก แต่ความกังวลได้ลดลงเพราะอ.ดิญะพร วิสะมิตนันท์ และอาจารย์ทวีศักดิ์ อนันต์เศรษฐศิริ แนะนำการสอบและทำเทคนิคในการทำข้อสอบ

                ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากนั้นมีการประกาศผลผ่านเว็บไซต์ ดิฉันได้สิทธ์ในการเข้าสอบสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ถูกจัดขึ้น ณ  CAT telecom สาขาหาดใหญ่ ผ่านระบบ VDO conference โดยตรงกับคณะกรรมการผู้ทำการสัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ  จำนวน 3 ท่าน ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที การสัมภาษณ์ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเรา เพียงแค่ตอบคำถามตามความรู้สึกและประสบการณ์ที่เคยสั่งสมไว้ (ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก อิอิ ! )
              
  

                   หนึ่งเดือนต่อมา มีการประกาศผล โชคเข้าข้างจริงๆ ! ดิฉันผ่านรอบสัมภาษณ์ ได้เข้าสอบTOEFL (Test of English as a Foreign Language)ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ยากมากๆ และแพงมากด้วย (แต่ดิฉันได้สอบฟรีๆ เลยค่ะ)ในตอนนั้นดิฉันทั้งดีใจและกลัวแต่ความกังวลได้ลดลงเพราะอาจารย์ดิญะพรและอาจารย์ทวีศักดิ์ แนะนำการสอบและเทคนิคในการทำข้อสอบ

หลังจากสอบเสร็จ ดิฉันคอตกเดินออกจากห้องสอบคิดว่าคงไม่ได้แน่ๆ แต่....เมื่อปิดเทอมไปช่วงหนึ่ง มีโทรศัพท์จาก Fulbright โทรมาบอกว่า น้องคือนางสาววัลลภา เขียวอุ้ย ใช่มั้ยค่ะ น้องได้รับคัดเลือกนะคะ โอ้โห ! แทบเชื่อหูตัวเองเลยค่ะ ....ไม่เสียแรงที่กล้าออกมาจากกะลาหาประสบการณ์ภายนอก จนทำให้ฉันเกร่ง แกร่งพอที่จะแข่งกับคนอื่นจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศได้

 รวมระยะเวลาในการสมัครเดือนตค.55 - มีค.56 นับว่าคุ้มค่าการรอคอย
               
ฝากถึงรุ่นน้องปี 1

 ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนเลยค่ะว่า ตอนแรกดิฉันก็กลัวเหมือนกันว่าเข้าไปปี 1 จะปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ใหม่ เพื่อนใหม่ได้มั้ย แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อต้องออกจากบ้านไปเผชิญโลกภายนอกให้อยู่รอดจนจบปี 4 แต่พออยู่ไปประสบการณ์ สถานการณ์ทุกอย่างบีบให้เราต้องอยู่ให้ได้ ผ่านมันไปให้ได้ มันสอนให้เราแกร่งขึ้น ง่ายๆ แค่เปิดใจยอมรับสิ่งที่คนอื่นแตกต่างจากเรา เต็มใจรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าหน้าที่ในฐานะลูกของเราคือเรียนให้จบ อย่างไรก็ตามการเรียนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบโดยแท้จริงได้ การสละเวลาทำกิจกรรมนอกห้องเรียนบ้างเมื่อมีโอกาส จะส่งเสริมทักษะชีวิต ทักษะในการเข้ากับบุคคลอื่นและในบางครั้งการเข้าร่วมกิจกรรมก็ทำให้เราได้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมได้อีกทางหนึ่งด้วย

                                          --------------------------------------------------------

I am Nok



คุ้นๆว่าเคยเขียนเรื่อง "ชื่อ" เมื่อสองสามปีก่อน มารู้สึกอยากเขียนถึงอีกครั้งเมื่อ "เย็น" เล่าถึงที่มาของชื่อ ซึ่งในความรู้สึกของเค้ามักจะมีคนถามว่าทำไมชื่อนี้ 


ช่วงละคร "นางทาส"ดังเมื่อหลายปีก่อน เธอถูกเรียกว่า "อีเย็น" ที่น่ารักคือมีบางคนคิดว่ามันมาจาก "หวานเย็น" "หวันเย็น" (ภาษาใต้หมายถึงตอนเย็นๆ) สำหรับเราเมื่อได้ยินชื่อ "เย็น" นึกไปถึงคำว่า "น้ำเย็น" เพราะเคยรู้จักนิสิตเอกเทคโนชื่อนี้ แต่ตอนนั้นก็คิดว่าคงเป็นชื่อที่เค้าตั้งขึ้นมาเองเพื่อให้เข้าเทรนด์ ไม่ได้สอบถามว่าจริงๆชื่อเล่นของเค้าคือชื่อไหน



ชื่อก็บอกช่วงเวลาของผู้เกิด เช่นในยุคเราก็จะนิยมตั้งชื่อลูกเป็นสัตว์ เราเลยมีเพื่อนในแก๊งค์เป็น มด หมู ปู  ส่วนแม่เราคงชอบชื่อสัตว์มาก เราเลยมีพี่เป็น "หนู" และ "นก" เวลาเจอญาติที่จำเราไม่ได้(นานๆเจอกันที เค้าเลยเรียกแบบเหมารวมว่า "หนูนก" เอ่อ...กะว่ามันคงถูกเข้าซักชื่อ)

โตมาหน่อยเรารู้สึกชื่อนี้ค่อนข้างเชย เพราะตอนเรียนม.ต้น มีนกถึง 4 ตัวแน่ะ แล้วเมื่อเข้าปริญญาตรีนกลดจำนวนลง แต่ก็มีอยู่ 2 ตัว (เป็นการย้ำว่าชื่อโหล) นกอีกคนอยู่คณะศึกษาฯ เลยมีสร้อยตามหลังชื่อว่า "นกศึกษา" (ดูเป็นคนขยันเรียนอยู่ตลอดเวลา อิๆ) บางคนเรียกเธอว่า "นกตรัง"  ส่วนเราเนื่องจากตัวเล็กเลยได้ชื่อว่า "นกเล็ก" 

เมื่อมาทำงานที่มหาลัยทักษิณ โล่งแฮะ มีนกอยู่ตัวเดียว จนเมื่อพี่นก อิศราเข้ามาทำงานหลังเรา 4-5 ปี เราก็กลับมาเป็น "นกเล็ก" ต่อ ส่วนพี่นกถึงจะตัวไม่ใหญ่ ก็กลายเป็น "นกใหญ่" ไปด้วยเหตุที่อาวุโสกว่า


เราชอบที่อาจารย์เจมส์ หัวสร้างสรรค์ เรียกเราว่า Nokia เพราะอาจารย์เห็นเราเขียนชื่อภาษาอังกฤษว่า Nok เลยเติมสร้อยคำให้ หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเปลี่ยนยี่ห้อโทรศัพท์อีกเลย เอ๊ย...ม่ายช่าย :)

บางครั้งอาจารย์เจมส์ก็เรียกเรา Miss Finland ซึ่งเราชอบมาก 55 ให้ความรู้สึกนางงามมากๆจนเราอยากโบกมือ(แบบนางงาม)ให้อาจารย์ทุกครั้ง 


อ๊ะ...สงสัยล่ะสิว่า Miss Thailand :) อย่างเรากลายไปเป็น Ms. Finland ได้เยี่ยงไร อ.เจมส์คิดต่อไป 1 ขั้นคือ Nokia มันผลิตในประเทศฟินแลนด์ ดังนั้นเราก็สมควรมีอีกชื่อหนึ่งเป็น Ms. Finland ด้วยประการฉะนี้ 

ช่วงไปอยู่อเมริกา เพื่อนออกเสียงชื่อนกอย่างถูกต้องไม่ได้ (เราไม่ค่อยใช้ชื่อจริงในการแนะนำตัวเลย เพราะแนะนำไปก็เท่านั้น ไม่มีใครจำได้ เลยแนะนำชื่อเล่น และบอกว่าเรียกเราว่า Knock ก็ได้ พร้อมทำมือเคาะประตู (Diana พอสนิทกันก็แซวเราว่าเรามีท่าแนะนำตัวประกอบด้วย :).


เมื่อเรานึกได้ว่าชื่อเราปรากฎอยู่ในสายการบินนกแอร์ เราก็เริ่มสร้างมุขไว้เล่นกับเพื่อน โดยบอกว่าที่บ้านเราน่ะรวย มีสายการบิน Nok Air  ถ้าพวกเธอไปไทย จะเห็นเครื่องบินรูปนก สีสันสดใสด้วยนะ 

เพื่อนบางคนทำตาโต (อาจจะลังเลว่าควรเชื่อดีมั๊ย อิๆ)


มีบ้างบางคนที่ถามว่าชื่อนก หมายถึงนกอะไรเราก็จะคิดไปเรื่อย มีช่วงหนึ่งที่คิดอยากเป็นนักเขียนแล้วหานามปากกา ก็คิดว่าจะให้ชื่อ """.""."" ".นกแร้ง

แต่เพื่อนผช.ที่เห็นว่าเราผิวคล้ำเค้าบอกว่าควรชื่อ "นกกา มากกว่า :(

บางทีนึกสนุก พอใครถาม เราจะบอกว่าชื่อ "นกน้ำ..." เค้าก็จะทำหน้าตางงๆกัน แล้วถามต่อว่านกน้ำอะไร ก็จะ(ได้ที)บอกเลยว่าเรื่องมันยาว

 มันมาจาก นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้ 


???

--------------------------

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

โป๊บ จำปูน: คนล่าฝัน








เมื่อได้รับมอบหมายจากกองบรรณาธิการของจุลสารคณะมนุษย์ฯให้หาศิษย์เก่ามาแนะนำรุ่นน้องเข้าใหม่เรื่องการใช้ชีวิตในมหาลัย บรรณาธิการเฉพาะกิจ (เม.ย.56) อย่างเราก็นึกถึงโป๊บ โอ้ว...โป๊บเป็นศิษย์เก่ารุ่นแรกของเรารหัส 46 ตอนนั้นเค้ายังเอกดุริยางค์อยู่เลย แต่เป็นคนที่เรียนอังกฤษเก่งมาก ได้ A ของเราคนเดียวในชั้น หลังจากนั้นโป๊บย้ายมาเอกอังกฤษตอนปี 2 ความรักดนตรีของเค้ายังอยู่ จนเมื่อจบการศึกษา โป๊บก็ยังตามล่าฝันการเป็นนักร้องของเค้าอยู่และวนเวียนอยู่ในวงการดนตรี

 นับถือๆ

เมื่อติดต่อโป๊บทาง FB ก็ได้รับคำตอบเร็วทันใจว่ายินดีจะเขียนถึงน้องๆให้ ดังที่เค้าตอบอีเมลกลับมา 

----------

โป๊ปเขียนแบบสั้นแค่ครึ่งหน้าไม่เป็นครับ อาจารย์ 55
ต้องขออภัยในความยาวของบทความด้วยฮะ
แต่อาจารย์สามารถตัดทอนได้ตามเห็นสมควรเลยฮะ

โป๊ปลองเล่า เรียบเรียง และใช้ภาษาแบบสบายๆ
เหมือนนั่งลงเล่าเรื่องให้น้องๆฟังน่ะครับ
ขอบคุณที่ให้โอกาสนี้กับโป๊ปด้วยนะครับผม

เป็นเกียรติมากๆครับ
ขอบคุณอีกครั้งนะครับผม

โป๊ป กิดาพงศ์ วิบูลกิจ

(ลูกศิษย์ตัวอวบแต่ยิ้มเก่งของจารย์เองฮะ)

----------------





            สวัสดีครับ ผมชื่อนายกิดาพงศ์ วิบูลกิจ โป๊ปครับ ผมจบจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษฮะ  ผลการเรียนจัดได้ปานกลางถึงปานกลางมากที่สุด  อาจารย์เกือบทุกคนในภาควิชาจะรู้จักผมดี เพราะผมเป็นลูกศิษย์แนวอินดี้แหกคอกฮะ คือตอนปี 1 ผมเรียนดุริยางคศาสตร์สากล แต่มาย้ายเอกตอนปี 2 เทอม 2 ครับ  เลยต้องพยายามมากกว่าเพื่อนๆร่วมเอกเป็นเท่าตัวในการตามเก็บหน่วยกิจให้ได้ตามเงื่อนไขในการย้ายมาเอกภาษาอังกฤษ ตอนนั้นก็มีเหนื่อย มีท้อบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเรามุ่งมั่นมากพอก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอกครับ  ต้องขอบคุณกำลังใจดีๆทั้งจากคณะอาจารย์และทีมงานเพื่อนๆในภาควิชาทุกคนด้วยนะครับผม เป็นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย 4 ปีที่ผมมีความสุขมากจริงๆฮะ



                ทุกวันนี้ผมเป็นนักดนตรีครับ อย่างที่บอกตอนต้นฮะว่าผมเป็นลูกศิษย์แหกคอก คือเรียนจบเอกภาษาอังกฤษแต่ดันมาทำงานสายดนตรี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องของความฝัน สำหรับผม, ผมมองว่าเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตให้มีความสุขตามความรักความฝันของตัวเอง แถมถ้าความรักความฝันก้อนนั้นสามารถเลี้ยงชีพและสร้างความภูมิใจให้ตัวเราได้ด้วย จบสายวิชาสาขาไหนยังไงมาก็คงไม่สำคัญหรอกครับ อย่าปล่อยให้วิชา สาขาที่คุณเรียนจบมานิยามความคิด ตัวตน ความฝัน และชีวิตในอนาคตนะฮะ   ตอนนี้ผมกำลังมีความสุขและสนุกดีกับการไต่บันไดความฝันทีละขั้นอย่างแช่มช้าฮะ กว่าที่จะมีอัลบั้มเต็ม (ซึ่งคาดว่าน่าจะวางแผงไม่เกินเดือนสิงหาคมปีนี้) ผมใช้เวลารวบรวมความฝันให้มั่นคงมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วครับ  ถ้าจะนับตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงวันนี้ วงผมใช้เวลาสร้างรากฐานให้ความฝันของตัวเองถึง 10 ปีทีเดียวครับ

                แต่สำหรับคำว่าความฝัน ไม่มีคำว่าสายหรอกครับ!  อยากจะฝากถึงน้องๆนะฮะว่า อย่าท้อแท้และหมดหวังในเวลาที่ความฝันเราไม่เป็นจริง  ความฝันบางอย่างอาจต้องใช้เวลามากกว่าที่เราคิดกว่ามันจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง  อย่าเสียดายเวลาที่ใช้ทุ่มเทให้ความฝัน เพราะนั่นคือสิ่งที่เราต้องแลกมาด้วยประสบการณ์ส่วนบุคคลครับ  ล้มลุกคลุกคลานบ้าง, เพราะบางครั้ง ถ้าเราไม่หัดเรียนรู้ที่จะหกล้ม เราอาจไม่มีวันได้เรียนรู้วิธีลุกขึ้นยืนก็ได้  อีกอย่างหาเวลาทำกิจกรรมที่นอกเหนือจากการเรียนบ้างนะฮะ ชีวิตช่วงในวันวัยมหาวิทยาลัยนั้นเหมาะสมที่สุดแล้วครับที่จะฉกฉวยเอาวันเวลาที่มีค่ามาสั่งสมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้ตัวเอง  ใช้ชีวิตให้เต็มที่ มีความสุขกับความฝัน และจงตระหนักในความมหัศจรรย์ของมิตรภาพทั้งจากอาจารย์ รุ่นพี่ รุ่นน้อง และที่สำคัญ เพื่อนๆเอาไว้ด้วยนะครับ เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่มีค่าแบบที่เงินหาซื้อไม่ได้ครับ




                ในฐานะศิษย์เก่าที่หัวใจยังใหม่อยู่  ผมขอฝากให้ทุกคนใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยให้สนุก เต็มที่ และมีรอยยิ้มอยู่เสมอนะฮะ แล้วเมื่อวันที่คุณมองย้อนกลับมาหามันอีกครั้งในอีกหลายสิบปีข้างหน้า คุณจะพบว่ามันช่างวิเศษขนาดไหนที่ฉันได้ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ในช่วงเวลาดีดี 4 ปีในวันวัยนั้น และสำคัญไม่แพ้กัน ผมขอฝากศิลปินน้องใหม่ในสังกัดค่าย Chillin’ Groove Records ภายใต้การดูแลของ พี่โก้ Mr.Saxman ด้วยฮะ วงดนตรีของผมเป็นผลผลิตของกลุ่มคนตัวเล็กๆซึ่งมองโลกในแง่งาม เนื้อหาเพลงถูกเล่าผ่านเรื่องราวด้านบวกของโลก เพิ่มผสมอารมณ์ขันลงไปในดนตรีสไตล์ Acoustic Pop เจือกลิ่น Jazz นิดนิด ขอฝากวง จำปูน ในอ้อมใจพี่น้องชาวฟ้าเทาเราด้วยนะฮะ สนับสนุนศิษย์เก่าตัวเล็กๆกลุ่มนี้ด้วยนะครับผม วางแผงพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่น่าจะเกินเดือนสิงหาคมนี้แน่นอนครับ!  ขอบคุณมากๆครับ
                ติดต่อ ติดตามผลงานของ จำปูน ได้ที่นี่ครับ
                www.thecgr.com/jumpoon
                www.twitter.com/@jumpoonCGR

---------------



Reply: 
 ครูกำลังลำบากใจค่ะว่าจะตัดส่วนไหนดี(ด้วยความจำกัดของพท.สื่อ อิๆ) ขอบใจที่แชร์ประสบการณ์เรื่องราวน่ารักๆให้น้องๆรุ่นหลังๆได้เรียนรู้จากรุ่นพี่นะคะ เชื่อว่าขณะเขียนโป๊บน่าจะย้อนวัยเด็กไปเยอะจนได้เรื่องราวที่
เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวันวาน :)

-------------------

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

Long Walk to Freedom : ตะรุเตารำลึก

คิวเดือนพค.56 แน่นมากๆ มหาลัยเปิด 3 มิย.56 แต่เรามีโครงการที่ทั้งตัวเองเป็นผู้จัดหลัก และไปเข้าร่วมโน่นนี่นั่น ตื่นเต้นๆ

11-12 พค. - ไปเกาะตะรุเตา กับนิสิตที่เรียนซัมเมอร์วิชา "วิถีไทย"  ช่วยพี่ตี๋ดูแลนิสิต จำได้ว่าเราเคยไปตะรุเตา 1 ครั้งแล้วกับนิสิตเอกสังคมฯประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่ทันขึ้นเรือ เราก็ขาแพลงซะก่อน ทำเอาหมดสนุกไปครึ่ง เนื่องจากต้องเดินเขยกๆตลอดทริปและไม่ได้ไปดูคุกของตะรุเตา ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นคุกที่ขังนักโทษโดยเอาไปอยู่ซะห่างไกลผู้คน เรารู้มาว่า ส.เศรษฐบุตร ซึ่งเป็นคนเขียนพจนานุกรมไทย - อังกฤษ ก็ใช้เวลา 12 ปี ( 6 ปีในคุกบางขวางและอีก 6 ปีที่คุกตะรุเตา) ช่วงที่ติดคุกเขียนมัน โอ้ว ...ช่างใช้เวลาได้อย่างมีประโยชน์และทำให้ไม่หมกมุ่นกับความรู้สึกของกรงขัง เหมือนกับว่ายิ่งถูกขัง สิ่งที่กักขังไม่ได้คือความคิดและจินตนาการ ทำให้เรานึกไปถึงประธานาธิบดีเนลสัน แมนเนลล่า ของประเทศแอฟริาใต้ ที่ใช้เวลาที่นั่นเขียนหนังสือ Long Walk to Freedom และทั้งที่โดนขังอยู่ราว 27 ปี แต่เมื่อออกมาก็ยังมีความคิดแง่บวกไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น เป็นคนดีที่โลกยกย่องอีกคนนึง






- “For to be free is not merely to cast off one’s chains, but to live in a way that respects and enhances the freedom of others.”

การปลดโซ่ตรวนไม่ได้หมายถึงการเป็นอิสระ การเป็นอิสระหมายถึงการอยู่ด้วยความเคารพและทำให้ผู้อื่นเป็นอิสระ (ทางความคิด --ผู้เขียน)

คำคมอันนี้น่าจะมาจากการที่ท่านถูกจองจำเป็นเวลานาน แต่ก็ยังไม่สิ้นศรัทธาในการสร้างและพัฒนาผู้อื่นให้เป็นอิสระทางจิตวิญญาณ 

เมื่อ search หาคำคมของท่าน เราพบว่ามันมีเยอะมาก และแต่ละอันผ่านการตกผลึกทางความคิดและประสบการณ์ชีวิตมาแล้วทั้งนั้น หากใครได้ติดตามชีวประวัติของท่านจะเห็นว่าท่านผ่านอะไรมาเยอะมาก คำพูดที่กลั่นกรองมาแล้วล้วนเป็นอมตะ ไม่ว่าอ่านเมื่อไรก็ยังเป็นเช่นนั้น

- “The greatest glory in living lies not in never falling, but in rising every time we fall.”
ความรุ่้งเรืองที่สุดของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การไม่เคยหกล้ม แต่คือการที่ลุกได้ทุกครั้งเมื่อเราหกล้ม

- “Education is the most powerful weapon which you can use to change the world.”
การศึกษาคืออาวุธที่สำคัญที่สุดในการใช้เปลี่ยนแปลงโลก




หนังเรื่อง Invictus ถ่ายทอดความเป็นเนลสัน แมนเดลล่าในแง่ความเป็นผู้นำประเทศที่ใฝ่สันติได้ดีมากๆ เนื่องจากประเทศแอฟริกาใต้มีความขัดแย้งระหว่างคนขาว (ชนส่วนน้อยแต่มีอำนาจ) กับคนดำ คนส่วนใหญ่แต่ไม่มีอำนาจในมือ กฎหมายหรือข้อบังคับต่างๆมาจากคนขาว ทำให้คนผิวดำไม่พอใจ

 (เราเคย review เรื่องนี้เอาไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อน)



หากใครชอบอ่านหนังสือแนวให้แรงบันดาลใจ และคนยิ่งใหญ่ที่มีแนวคิดเพื่อสันติ ไม่ควรพลาด
 เมื่อตะกี๊เราลอง google หนังสือเล่มนี้เผื่อจะซื้อมาอ่าน ทั้งในห้องสมุดมหาลัย และสนพ.ซีเอ็ด จุฬา ไม่มีแฮะ ว้า...ดูท่าจะเป็นหนังสือหายากแฮะ

ตอบสนองความอยากเราไม่ได้เลย


------------------
หมายเหตุ: quote ดีๆมาจาก http://newsone.com/1397375/nelson-mandela-quotes-93rd-birthday/

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

Charlotte's Web & Bacon A Love Story

แมงมุมเพื่อนรัก ( Charlotte's Web)






หนอนหนังสือทุกคนมักมีหนังสือในช่วงวัยต่างๆให้นึกถึง สำหรับเราหากเป็นตอน ม.1 เราชอบหนังสือนอกเวลาเรื่องแมงมุมเพื่อนรัก เขียนโดย E.B. White เรานึกชื่นชมจินตนาการของผู้เขียนที่ผูกเรื่องให้ แมงมุม Charlotte ช่วยชีวิตลูกหมู Wilbur จากชะตาชีวิตที่หมูๆเลี่ยงไม่ได้นั่นคือการฆ่าเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์




เราได้มาดูหนังเรื่องนี้ประมาณ 20 ปีผ่านไป :)
ฮ่า... แอบมีอคติเล็กน้อยว่าหนังสือทำได้ดีขนาดนี้ ดูหนังแล้วก็คงประมาณหนึ่งไม่ถึงกับดีมาก เมื่อยืมเรื่องนี้จากเจ้ย เราก็ยังเอามาตั้งไว้ เมื่อดูดีวีดีเรื่องอื่นๆจนไม่มีอะไรให้ดูและต้องคืนเพื่อนแล้ว เลยได้ฤกษ์งามยามดีหยิบขึ้นมาดู 

โอ๊ะโอ...ดูเรื่องนี้เกือบมีน้ำตา ด้วยความที่อินไปกับเนื้่อเรื่อง 
หนังทำได้น่ารักและกระชากอารมณ์ผู้ดูได้ดี๊ดี



เรื่องย้อนไปฟาร์มของพ่อหนูน้อย Fern ซึ่งตัดสินใจว่าจะฆ่าหมู Wilbur เนื่องจากตัวเล็กเกินไป ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงให้โตเหมือนตัวอื่นๆ  Fern เป็นคนไปขอชีวิตมันไว้ โดยตั้งคำถามที่กินใจทำให้พ่อและคนดูสะอึก " หากหนูเกิดมาตัวเล็ก ไม่สวย พ่อก็จะฆ่าหนูทิ้งเหรอคะ" เธอเปรียบเทียบตัวเธอเองกับหมู Wilbur

ด้วยคำถามนี้ พ่ออึ้ง และเมื่อไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เลยอนุญาตให้เธอเลี้ยงมันต่อไป




แต่นั่นล่ะชะตาชีวิตการเกิดเป็นหมูไม่ใช่ว่าจะง่าย เพราะล้วนมีคนเห็นเนื้อขาวอมชมพู พ่วงพี แล้วน้ำลายไหลยืด ความคิดที่จะฆ่าหมูน้อยเลยมีมาเป็นระยะๆ




ถึงคราวพระเอก Charlotte ของเราออกโรงด้วยการเขียนข้อความบนใยแมงมุมของมันว่า Humble (ถ่อมตน) ทำให้ในฟาร์มฮือฮาว่ามีหมูวิเศษ 




กาลเวลาผ่านไปไม่นาน เมื่อคนเลือนๆเรื่องนี้ไป อยากฆ่าหมูน้อยอีก แมงมุมเพื่อนรักเลยออกมาชักใยเขียนใหม่ Terrific (วิเศษ เยี่ยมยอด) หมูน้อยเลยรอดตัวไปอีกครา


Bacon A Love Story




เมื่อคิดจะเขียนบล๊อคเรื่อง "แมงมุมเพื่อนรัก" เราก็นึกไปถึงเรื่องเกี่ยวกับหมูๆ Bacon A Love Story แต่เรื่องนี้หมูได้กลายเป็นแผ่น เป็นอาหารของคนไปเรียบร้อยแล้ว 





เราได้เรื่องนี้มาจากร้านขายของมือสองที่อริโซนา และหอบหิ้วกลับมาไทยด้วย เนื่องจากยังอ่านไม่จบ (กลับมาได้เกือบปี อิๆ ก็ยังได้ครึ่งเล่ม ฮี่ๆ) 

มีสำนวนเกี่ยวกับเบคอนน่ารักๆมาฝาก

-Bacon makes everything better อันนี้เป็นคำกล่าวของฝรั่งที่ชื่นชอบเบคอน และใส่มันลงไปเพิ่มรสชาติให้อาหารที่ไม่ค่อยมีรสชาติ  

- Bacon is a meat candy โอ้ว...ใช้คำได้เห็นภาพเพราะสำหรับบางคนมันเป็นของกินเล่นแบบเคี้ยวๆ เปรียบไปก็เหมือนกินลูกกวาด แต่เป็นลูกกวาดรสเนื้อ ถ้าเป็นคนไทยหากได้เอามาจิ้มข้าวเหนียวคงอร่อยเหาะ : Bacon เป็นอาหารมื้อเช้าที่คนอเมริกันชอบกิน เวลาเรานึกเมนูอะไรไม่ออก เราก็มักซื้อมาทอดกิน อารมณ์ประมาณว่าหากอยู่ไทย ก็ทอดอะไรง่ายๆกิน ประมาณนั้น

 กินไปกินมาเราก็ว่ามันอร่อยและทำง่ายดี แถมหาได้ง่ายมีหลากหลายแบบให้เลือกตามห้าง 
อ๊ะฮ๊า...เริ่มติดใจ


ผู้เขียนเรื่องนี้ก็เป็นคนนึงที่ชื่นชอบการกินเบคอน เธอเลยอุทิศเวลาและสำรวจการกินเบคอนไปทั่วอเมริกา ในเล่มประกอบด้วยเมนูอาหารที่มีเบคอนเป็นส่วนประกอบ




เรามาได้คิดว่าคนอเมริกาหลายๆคนบ้าเบคอนมากก็ตอนอ่านหนังสือแล้วรู้ว่าเบคอนก็เป็นรสหนึ่งของไอติมด้วย 





ของคาวๆกับไอติมมันไปด้วยกันแบบแปลกๆนะเราว่า พูดอย่างนี้เพื่อนฝรั่งคงแย้ง แล้วที "ไอติมไข่" ของสงขลาล่ะ นั่นก็ของคาวกับไอติมเหมือนกันนะ




ยอมแพ้! แปลกพอกัน :)

 และล่าสุดเราอ่านคอลัมน์คลุกวงใน เขียนโดยพิศณุ นิลกลัด หนังสือมติชน ฉบับประจำวันที่ 5-11 เมย.56 ที่อเมริกามีถุงยางกลิ่นเบคอนแล้ว Oh My God!







movie review : ยอดมนุษย์เงินเดือน




กฎของบริษัทมีแค่ 2 ข้อต้องท่องจำให้ขึ้นใจ

1. The boss is always right.

2. If the boss does something wrong, see the rule number 1.

เจ้านายมักถูกเสมอ หากเจ้านายผิดก็ให้ย้อนไปดูประโยคข้างหน้า 55 บ้ารึเปล่า 

เราไม่ได้จัดตัวเองเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะถึงแม้เรารับเงินเดือนทุกเดือน แต่การไม่ได้ทำงานบริษัท ทำให้เราไม่ต้องแข่งขันมาก ไม่ต้องตอกบัตรเข้าทำงาน ไม่ต้องนึกเรื่องโบนัสปลายปี 
ไม่ต้องไปทำงานแต่ไก่โห่ กลับบ้านดึก เหมือนกับมนุษย์เงินเดือนในกทม.






เมื่อเราได้ดูหนังเรื่อง "ยอดมนุษย์เงินเดือน" (Super Salary Man) ระหว่างทางกลับจากลาว เราชอบมันมาก อาจจะเพราะด้วยความที่เราอยู่ในวัยทำงานเลยเข้าใจมันได้ดี และเนื้อเรื่องโดยรวมทำได้น่ารักมาก 



พี่ติ๊กแสดงเป็นคนบ้างาน "ห้ามป่วย ห้ามสาย ถ้าจะตายกรุณาแจ้งล่วงหน้า" (? ...มันทำได้ด้วยเหรอ อย่างหลังเนี่ย) พี่เค้าตีบทแตกมากกับการเป็นหัวหน้างานที่ต้องทำให้ได้ตามเป้า และต้องเอาลูกน้องให้อยู่ทั้งใช้ลูกล่อลูกชน เป็นโบนัส หรือด้วยวิธีการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้องทำตาม เพราะในเวลาทำงานหากเจ้านายดีแต่สั่ง ไม่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย เชื่อได้ว่าลูกน้องคงไม่ทำงานถวายหัว 




ส่วนนางเอก เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ชอบอยู่นอกคอก เอ๊ย นอกกรอบ แม่นางเอกสอนตอนนึงว่า "หากลูกยังไม่เคยอยู่ในคอก จะรู้ความรู้สึกของการแหกคอกอย่างแท้จริงได้อย่างไร" (คมซะ)

เมื่อ 2 คนนี้มาเจอกันจะเป็นเยี่ยงไร น่าสนุกใช่มั๊ย 

พระเอกรำคาญนางเอก ในขณะที่นางเอกก็รำคาญพระเอกเช่นกัน 
เมื่อ 2 คนเริ่มลดความเป็นตัวเอง ก็พบว่าวิธีของอีกฝ่ายก็ดีเหมือนกันแฮะ 

ขอยกตัวอย่าง ....เมื่อพนักงานต้องเอางานมาทำที่คอนโดของพระเอก ก็โดนข้างห้องโวยว่าส่งเสียงดัง ลูกไม่ได้หลับได้นอน ขณะที่พระเอกถูกบ่นอยู่หน้า้ห้อง นางเอกก็โผล่หน้ามาแบบเนียนๆ มาคุยหยอกล้อเล่นกับลูกเล็กของเพื่อนข้างห้อง สถานการณ์เลยเปลี่ยนไป เพื่อนบ้านโดนหันเหความสนใจและกลับห้องไปในท้ายสุด ฉากใกล้จบ พระเอกกับเพื่อนบ้านก็กลายเป็นเพื่อนกันไปเรียบร้อยแล้ว 




 เรื่องนี้เราว่าเหมาะสำหรับ

1. คนวัยทำงาน จะได้เอาไว้ย้อนดูตัว ว่าเรามีพฤติกรรมอย่างไร จะปรับปรุงตัวเองอย่างไร

2. คนเข้าสู่การทำงาน เพื่อจะได้พอมองเห็นภาพการทำงานของตัวเองในอนาคต แบบว่าเตรียมตัวรับชะตาของตัวเองเอาไว้ก่อน อิๆ 


ขอจบบล๊อคด้วยคำคมขำๆจาก Facebook ของหนังเรื่องนี้

6. ขอให้เจ้านายเซ็นใบลาง่ายๆ ไม่เรียกตัวขณะกำลังใช้วันลา
7. ขอให้ลูกเจ้านายปลอมตัวมาสืบเรื่องลับในบริษัทและเจอเราเป็นคนแรก ( สูตรสำเร็จละครช่อง 7 :)
8.  (เอ่อ...คิดไม่ออกแล้วอ่ะ บังเอิญว่าไม่ได้เป็นชาวออฟฟิศ :)

เคยอ่านข่าวๆนึง น่าสนใจมาก
 ที่ประเทศจีน อนุญาตให้พนง.ลาในกรณีอกหักได้ 3 วัน !
"โอ้ว...พระเจ้าจ๊อช มันยอดมาก" เราเอาเรื่องนี้มาถกกับนิสิตๆหลายคนเห็นด้วย เนื่องจากว่าหากอกหักคงไม่มีจิตใจจะทำงาน แถมยังอาจทำให้งานเสียหายได้ อืม...ก็จริง แต่ก็น่าคิดว่าหากลาพักอยู่คนเดียว จะฟุ้งซ่านมั๊ยเนี่ย

ความคิดดีๆอีกอย่างนึงคือ พนง.ที่ไม่ได้อกหักก็สามารถใช้วันลานี้ได้ 3 วันต่อปีเหมือนกัน !
ดีจัง จะได้เกิดความเท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่งั้นฝ่ายหลังคงมีอาการแกล้งอกหักกันบ้างล่ะ อิๆ

-----------------------------------------

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

โปสการ์ดที่คิดถึง

ความสุขของคนเขียนโปสการ์ด




นานแค่ไหนแล้วน๊าที่เราไม่ได้เขียนโปสการ์ด เวลาไปสถานที่ใหม่ๆ เรามักอดไม่ได้ที่จะมองหาโปสการ์ด  เราพยายามจะเขียนโปสการ์ดให้เป็นกฎข้อควรปฏิบัติเวลาไปเที่ยว บางทีซื้อโปสการ์ดไว้แล้วแต่ก็ไม่ได้ส่ง บางทีก็มาส่งในมหาลัย 55

เมื่อเราได้รับโปสการ์ดจากเวียดนามที่เชษฐ ส่งมาให้ เราตื่นเต้นอีกครั้ง ไม่คิดว่าเชษฐ (อาจารย์รุ่นน้องที่ไม่น่าจะมีอารมณ์สุนทรีย์กับการเขียนโปสการ์ดจะเป็นผู้ส่งหาเรา คิดว่าเป็นฉิม ซึ่งดูศิลปินกว่าจะเป็นคนเขียนซะอีก (โปสการ์ดใบนี้เขียนกันทั้งแก๊งค์ อันประกอบด้วย เชษฐ ฉิม น้องปาล์ม พี่แก้ว สาขาประวัติฯ)

เสน่ห์ของโปสการ์ดอยู่ตรงนี้เอง มันทำให้คนรับรู้สึกดี โดยเฉพาะเมื่อได้รับจากคนที่ไม่คิดว่าเค้าจะเขียน สอบถามเชษฐ ได้ความว่าเค้าเห็นเพื่อนๆเขียนกัน เห็นว่ามันน่ารักดีเลยเอาอย่างบ้าง และเราเป็นเหยื่อคนแรกที่เค้าส่งมาให้ (ก่อนหน้านี้เราก็เคยได้โปสการ์ดจากอินโดนีเซียจากเชษฐ+ฉิม)



ไปไต้หวันเราเลยตอบแทนบ้างด้วยการซื้อโปสการ์ด 2 ใบๆนึงเขียนหาตัวเอง ใบนึงส่งถึงเชษฐ เราได้โปสการ์ดน่ารักๆที่พิพิธภัณฑ์กู้กง น่ารักมากจนต้องเอามาเขียนถึง

มันเป็นโปสการ์ดที่เมื่อผู้เขียนๆเสร็จก็ใช้สติกเกอร์(อาจจะเป็นรูปก้อนเมฆ หัวใจ ) แปะทับลงไปเพื่อปิดข้อความ กันความอยากรู้อยากเห็นของคนอื่น (เคยมั๊ยที่เห็นโปสการ์ดเพื่อนแล้วอยากอ่าน และแอบคิดว่าน่าจะอ่านได้ เพราะคนเขียนโปสการ์ดมักไม่เขียนข้อความส่วนตั๊วๆเกินไป)

เมื่อผู้รับได้รับก็แค่ใช้เหรียญขูดสติ๊กเกอร์ออก ก็จะสามารถอ่านข้อความได้

ปกติค่าส่งโปสการ์ดต่างประเทศแพงมาก ที่อเมริการ่วม 30 บ. แต่ที่ไต้หวันแค่ 10 บ.! โปสการ์ดแพงกว่าเป็นไหนๆ ใบละ 40 บ. ที่พิพิธภัณฑ์ข้างๆร้านขายของที่ระลึก มีไปรษณีย์ให้ส่งได้ทันที เราเลยเอาซะหน่อย อิๆ  รื้อฟื้นประเพณีประจำตัวเมื่อออกเดินทาง

ทริปนี้เราได้โปสการ์ดแค่ 2 ใบ แม้เมื่อไปเดินตลาด เราพยายามสอดส่ายหาโปสการ์ด แต่ว่ามันไม่น่ารักโดนใจเท่ากับที่ซื้อที่พิพิธภัณฑ์อ่ะ






ความสุขของผู้ทำโปสการ์ด

เวลาเห็นรูปถ่ายทิวทัศน์ีที่เพื่อนๆถ่ายกันสวยๆ เราจะนึกถึงโปสกา์ร์ดขึ้นมาทันที ว่าถ้าเอาไปทำโปสการ์ดคงงามขนาด แต่ด้วยนิสัยอย่างเราที่มีความอยากจะทำหลายอย่างเลยไม่ค่อยได้ทำเรื่องที่ตั้งใจนี้ซักที แฮ่...

เมื่อเห็นอ๋อยซึ่งมีงานอดิเรกถ่ายภาพ พกกล้องไปไหนต่อไหน และมักมีรูปสวยๆมาอวดบน FB สม่ำเสมอ ทำโปสการ์ดขาย เราเลยพลอยตื่นเต้นไปกับเพื่อน ไอเดียทำโปสการ์ดพับของอ๋อยก็เก๋ เขียนโปสการ์ดเสร็จ พับส่วนที่เขียน แปะกาว แค่นี้ก็ไม่มีใครเห็นข้อความแล้ว






แถมอ๋อยมีหัวด้านการขายหากซื้อหลายภาพก็จะได้กล่องที่ทำจากกระดาษสาฟรีด้วย
เห็นอ๋อยตั้งแต่หัดถ่ายรูปและอาสาถ่ายรูปให้เพื่อน (อิๆ เราก็ได้ไปอัลบั้มงามๆ 1 อัลบั้ม) จนเป็นตากล้องมือฉมังรับถ่ายรูปงานแต่ง  ทำ photo book เรียกว่าจับงานอดิเรกมาเสริมงานหลัก เพิ่มความสนุกสนานอีกทางหนึ่งให้ชีวิต



เราว่าตากล้องมักจะมีความสุขเมื่อเห็นคนที่ถูกถ่ายยิ้มได้และชอบรูปที่ตัวเองถ่าย และมักจะได้รอยยิ้มกลับเสมอหากรุปออกมาดี :)

ความสุขจากงานอดิเรกมันเป็นอย่างนี้เอง



--------------------------------