วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564

Invictus: Movie reflection

I love when the president gives the winning trophy to the captain of the rugby national team. It made him aware of his own importance that he not just rugby players popular sports of white people, but represents the hope of the whole South African nation. The most important thing is that he is doing his best for others. จากการชมภาพยนตร์เรื่อง INVICTUS ทำให้เห็นว่า เนลสัน แมนเดลา เป็นคนที่มองการณ์ไกล และทำทุกอย่างเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น เช่น ดังคำพูดของเมนเดลาว่า “อดีตมันเป็นอดีตไปแล้ว” ทำให้เห็นว่าเขาไม่จมปลักกับอดีต และไม่นำสิ่งร้ายหรือสิ่งไม่ดีในอดีตมาทำให้เกิดผลกระทบกับปัจจุบัน ถึงแม้ในอดีตคนผิวสีและคนผิวขาวจะมีความขัดแย้ง และมีความไม่พอใจหรือความแค้นต่อกันมากเพียงใด แต่เมเดลลาก็สามารถสร้างความปรองดองระหว่างทั้งสองเข้าด้วยกันได้ เพราะเขาเชื่ิอว่าถ้าอยู่ร่วมกันโดยไม่เบียดเบียนหรือเหยียดสีผิวกัน ย่อมก่อให้เกิดความคิดและทัศนคติที่ดีต่อกันได้ ส่งผลถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาประเทศได้ ในภาพยนตร์หนูรู้สึกประทับใจตอนที่แมนเดลาเข้าไปขอให้พนักงานทำงานต่อ โดยให้บอดี้การ์ดรอข้างนอก แล้วเขาพูดว่า "หากคุณต้องการให้คนอื่นเชื่อสิ่งที่คุณพูด คุณต้องไม่แอบอยู่หลังคนที่ถือปืนเพราะนั่นเป็นการบังคับเขา" นี่ถือเป็นการกระทำที่ให้เกียรติผู้อื่น โดยไม่ใช้อำนาจของตัวเองเป็นใหญ่ และสามารถทำให้เข้าถึงจิตใจของผู้อื่นมากขึ้น แมนเดลาจะเน้นสร้างความปรองดองของคนในประเทศและยุติความขัดแย้ง ทำให้คนในประเทศมีความสามัคคีแต่ไม่แบ่งแยกกัน เหตุนี้ทำให้เขากลายเป็นที่ยอมรับของคนในประเทศในที่สุด จากการได้ดูหนัง Invictus ผมได้รับข้อคิดต่างๆ และได้มุมมองใหม่มากขึ้น แม้ว่าการเหยียดสีผิวในประเทศของเราจะไม่ได้โหดร้ายเหมือนต่างประเทศ แต่มันก็ยังสามารถเชื่อมโยงกับการเหยียดสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเหยียด ฐานะ เพศ และศาสนาในสังคมของเรา สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือการที่ผู้นำเลือกที่จะใช้วิธีปรองดองในการดูแลประชาชนทั้งสองฝ่าย เเม้ว่าในอดีตกลุ่มคนผิวสีจะไม่ได้รับสิทธิ์เท่าคนผิวขาว สิ่งนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ของคนสองกลุ่ม โดยการสลายความกลัวของคนผิวขาวที่กลัวว่าตนจะถูกรังแกกลับ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้คนผิวขาวกลับรู้สึกปลอดภัยและไว้ใจคนผิวดำมากขึ้น “ถ้าเราอยากจะสร้างสันติกับศัตรู เราจะต้องจับมือกับศัตรู แล้วศัตรูก็จะกลายเป็นหุ้นส่วนของเรา” ผมเห็นด้วยกับวลีนี้อย่างมาก เพราะไม่มีวิธีการใดที่จะทำให้ศัตรูกลายเป็นเพื่อนได้ดีเท่าการปรองดอง จากการที่ผมได้ดูหนังเรื่อง Invictus ผมประทับใจตอนที่เนลสัน แมนเดลดาพูดว่า “I am the master of my fate, I am the captain of my soul.” แสดงให้เห็นว่าเนลสันเป็นคนมีจิตใจที่แน่วแน่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค แม้ว่าตัวเองจะต้องติดคุกนานถึง27ปี ต่อมาหลังจากที่เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้คนในประเทศแอฟริกาใต้ไม่ว่าจะเป็นคนขาวหรือคนผิวสีปรองดองกัน และในที่สุดเขาก็ทำมันจนสำเร็จผ่านกีฬารักบี้ ซึ่งจากการดูหนังในครั้งนี้ทำให้ผมได้รับข้อคิดต่างๆมากมายเพื่อที่จะนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต ให้รู้จักการมองการณ์ไกล ความเท่าเทียมกันของเพื่อนมนุษย์ และความรักความสามัคคี และที่สำคัญคือการไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก จากที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องinvictus ได้เรียนรู้ว่าการนำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาปรับใช้เป็นบทเรียนเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง การที่เราโดนใครสักคนหรือคนกลุ่มใหญ่กระทำไม่ดีจนส่งผลกระทบทางจิตใจหรือร่างกายไม่จำเป็นต้องแก้แค้นด้วยการทำแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้น การเรียนรู้ที่จะให้อภัยและให้โอกาสฝ่ายตรงข้ามได้เรียนรู้ความของเป็นจริงของเราจะส่งผลดีในระยะยาวมากกว่า เหมือนที่Nelson Manladaทำมาตลอด จนเขาสามารถเปลี่ยนมุมมองของคนผิวขาวต่อคนผิวดำได้ แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างสังคม ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ต่อให้เขาจะเป็นถึงผู้มีอำนาจสูงสุดแต่ไม่มีคำสั่งที่ให้ประชาชนแบ่งชนชั้นกัน คุณลักษณะที่ผู้นำประเทศจำเป็นต้องมีคือมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและเห็นคุณค่าของทุกคน เพราะเป็นสิ่งที่จะนำพาประเทศไปสู่ความเจริญได้ จากการดูภาพยนตร์เรื่อง Invictus หนูประทับใจการที่ภาพยนตร์ใช้กีฬารักบี้เป็นทั้งสัญลักษณ์และตัวเชื่อมเรื่องราวต่างๆทั้งหมดของเรื่อง รักบี้เป็นกีฬาที่แบ่งชนชั้นของคนผิวขาวกับผิวดำ มีบทสนทนาของคนขาวกับคนดำในเรื่องที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างฟุตบอลที่ผิวดำชอบกับรักบี้ที่คนผิวขาวเล่นเป็นปกติในแอฟริกาใต้ว่า “ฟุตบอลเป็นกีฬาของนักเลงที่เวลาเล่นจะเล่นแบบสุภาพบุรุษ แต่รักบี้เป็นกีฬาของสุภาพบุรุษที่ตอนแข่งจะเล่นแบบนักเลง” เป็นคำพูดที่เสียดสีคนผิวดำ เหมือนกับพยายามจะเปรียบว่าคนผิวดำที่พยายามจะยกระดับตัวเอง หรือแม้แต่คนผิวดำเองก็ทำทุกอย่างที่จะไม่เชียร์รักบี้ทีมชาติตัวเองเพื่อแสดงการเป็นศัตรูกับคนผิวขาวอย่างชัดเจน ดังคำพูดที่เนลสัน แมนเดลล่าพูดว่า แม้แต่ตัวเขาเองเมื่อครั้งหนึ่งที่เขาถูกคุมขังอยู่เขาก็ยังเชียร์ชาติอื่นที่แข่งกับทีมชาติแอฟริกาใต้ และหนูเห็นในหนังมีการสอดแทรกความเหลื่อมล้ำในสังคมเข้าไปบ้าง เช่นที่คนรับใช้ในบ้านของคนขาวที่บ่นเรื่องสวัสดิการที่ค่อนข้างมีปัญหา หรือตอนนักรักบี้ทีมชาติต้องออกไปตามชนบทเพื่อไปสอนเด็กๆผิวดำให้เล่นรักบี้ ซึ่งฉากนี้ทำให้หนูเห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากของคนผิวดำ และหนูคิดนี่ว่าน่าจะเป็นกุศโลบายที่สำคัญที่เนลสัน แมนเดลล่า พยายามใช้รักบี้เป็นตัวเชื่อมให้คนผิวขาวเข้าใจคนผิวดำและให้คนผิวดำหันมาสนับสนุนคนผิวขาวและเพื่อเป้าหมายการเป็นแชมป์โลกรักบี้ของทีมชาติแอฟริกาใต้โดยมีความเป็นหนึ่งเดียวของชาติคือเป้าหมายหลักที่เนลสัน แมนเดลล่าตั้งใจที่จะทำให้เกิดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ จากที่ได้ดูภาพยนตร์ Invictus หนูชอบฉากประเทศแอฟริกาในยุคสมัยนั้น ที่เค้าทำย้อนไปในอดีตทั้งรถ บ้าน ตึก ผู้คนที่พอดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนเราอยู่ในยุคนั้นจริงๆ ทำให้เราอินกับหนังและตัวละครมากขึ้น จริงๆแล้วหนูเป็นคนที่ไม่ค่อยดูหนังแนวนี้ แต่หลังจากดูรู้สึกว่าหนังให้แรงบันดาลใจเรามากๆเหมือนให้พลังบวกเรามากขึ้น การเปลี่ยนความคิดของคนหลายล้านคนที่ไม่ชอบกัน ขัดแย้งกัน แต่กลับมาปรองดองกัน สำหรับหนู หนูมองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากแทบจะเป็นไปไม่ได้ ผู้นำมีอุดมการณ์และเป้าหมายที่แน่วแน่ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือแมนเดลามีความเชื่อ เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ เขาเริ่มจากตัวเอง และคนใกล้ตัว จนทำให้คนอื่นๆเชื่อตามเขา แมนเดลาเป็นผู้นำที่มีความอ่อนโยนให้อภัยคนผิวขาว ไม่คิดถึงแต่ตัวเอง แต่จะคิดถึงคนอื่นด้วยเสมอ ไม่จมอยู่กับอดีต อยู่กับปัจจุบัน และสร้างอนาคตของประเทศให้ดีขึ้น หนูมองว่าเป็นผู้นำที่ดีมากๆ

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2564

Decluttering Life: ลดสะสม เน้นสะสาง

เหตุ: อ่านหนังสือไป 2 เล่ม คือ ชีวิตดีได้เมื่อทิ้ง และ หนึ่งปีที่จะไม่ซื้อของ (One Year without Purchase) เพื่อกระตุ้นให้ตัวเองไม่ซื้อของเยอะ และจัดการกับความยุ่งเหยิง หนังสือเต็มบ้าน สิ่งที่ตามมา: 1. การจัดการหนังสือ เราพยายามลดจำนวนหนังสือในบ้าน ด้วยการที่เมื่อเอาหนังสือมาคืนที่ห้องสมุดประชาชนกศน. สี่แยกป่าไม้ เราก็จะนำหนังสือมาบริจาคด้วย เวลาหยิบหนังสือก็จะพยายามตัดใจอย่างรวดเร็วว่ามันจะไปเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย ดีกว่านอนแช่อยู่บนชั้นหนังสือที่บ้านเรา ตอนนี้หนังสือภาษาไทยเลยเริ่มเหลือน้อย ส่วนหนังสือภาษาอังกฤษเราจะบริจาคที่สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัย เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับนิสิตที่อ่านภาษาอังกฤษได้ มากกว่าเอาไปให้ที่ห้องสมุดประชาชน แต่จริงๆแล้วนิสิตก็ยังไม่ค่อยอ่านนิยายภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่นะ เอกอังกฤษก็มักอ่านตามสั่งในรายวิชาการอ่านซะมากกว่า ต้องขอบคุณห้องสมุดประชาชน ที่เราส่งคืนหนังสือสายเป็นเดือน ก็ไม่ว่า 55 เราเลยได้ใจ เอ๊ย ม่ายช่าย เราเลยตอบแทนด้วยการเอาหนังสือไปบริจาคทุกครั้งจนเป็นธรรมเนียม เราพบว่าแต่ละครั้งเมื่อไปที่นั่นก็ยังมีหนังสือน่าอ่านที่เราหาได้ที่นั่นที่เดียว อย่าง 2 เล่ม ข้างต้นก็เหมือนกัน 2. การจัดการยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าบัตรเอทีเอ็ม มีค่าธรรมเนียม 200 บ.ต่อปี ก็สะดุ้งเฮือก เพราะเราอุตส่าห์คิดว่าการไม่มีบัตรเอเทีเอ็มน่าจะดีไม่ต้องจ่ายเงินคล่อง รูดปื๊ด ๆ เมื่อบัตรธ.กรุงเทพ หายทั้ง 2 ใบ เราก็ใช้การโอนเข้าบช.ของพี่แทน จนโอ๋เตือนขึ้นมาครั้งนึง เราเลยคิดว่าไม่ได้ซะแล้ว ต้องรีบไปปิดบัตร เดือนที่แล้ว เราเลยไปปิดบัตรที่ธ.กรุงเทพ สาขาหน้ามหาลัย โดยไม่ได้ขอค่าธรรมเนียมคืน วันนี้ (4/3/64) เราไปยกเลิกอีก 1 บัตร ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา หน้าราชภัฎ ไปตั้งแต่เช้า เลยได้เป็นคิวแรกๆ รวดเร็วมาก และโดยไม่ต้องขอค่าธรรมเนียมคืน น้องจนท.ก็จัดการให้เสร็จสรรพ เลยได้เงินคืนมา 183 บาท! ดีใจจัง ที่ช้ำใจก่อนหน้านี้คือบัตรเครดิตของเทสโก้ โลตัส เรียกเก็บเงินรายปี 600 กว่าบาท ทั้งที่ยังไม่ได้เปิดใช้ใดๆ เมื่อเราเข้าไปอ่านในกระทู้พันธ์ทิพย์ มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว และไม่เห็นมีใครขอยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ไอ้หยา! เราถือใบแจ้งจ่ายเงินไปจ่ายที่ counter จ่ายเงินของเทสโก้ จ่ายไม่ได้ ต้องไปชำระที่ธนาคารชั้น 1 ด้านล่าง (น้อง cashier บอกอย่างนั้น) ปรากฎว่า 2 ธนาคาร ก็จ่ายชำระเงินให้ไม่ได้ เสียอารมณ์มากมาย แล้วจะเขียนวิธีชำระเงินไว้เยอะแยะทำไม ท้ายสุดวันรุ่งขึ้น เราก็ไปจ่ายที่ป.ณ. ห้าแยกเกาะยอ ภายใน 5 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย จบกันที! ------------- 30/03/64 กลับมาเขียนต่อว่า decluttering อะไรไปบ้างในรอบเดือนมีค. อิๆ 1. เราทำเรื่องค้างคาเสร็จไปอีกเรื่อง ไปจ่ายชำระภาษีที่สรรพากรจังหวัดมาแล้วเมื่อ 22/3/64 ตอนเช้าก่อนเข้ามาสนง. ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็ดำเนินการเสร็จ คนอื่นๆมักทำเรื่องออนไลน์ แต่เรารู้สึกว่าให้จนท.ทำให้น่าจะเรียบร้อยกว่า มั่นใจได้ว่าไม่ต้องมานั่งทำหลายรอบ (ปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่เราหักลดหย่อนภาษีจากการบริจาคเงินวันไหว้ครู 10000 บ. + หมู่บ้านเด็กโสสะ 300 บ./เดือน รายปี ซึ่งปีนี้เราไม่ได้บริจาคให้น้องป๋อ แต่บริจาคให้หมู่บ้านเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ต่อ เนื่องจากถามน้องแจ๋วแล้วว่าเด็กๆทุกคนจะมีเงินที่จัดสรรปันส่วนให้อยู่แล้ว + UNICEF 1499 บ. เพื่อกล่องข้าว อิๆ เราเห็นใบเชิญชวนให้บริจาคอยู่ใน locker เลยชวนโอร่วมบริจาคด้วย (อันนี้ถือว่าเป็นการบริจาคในปีใหม่และเดือนเกิด) ซึ่งโอใจดี บริจาคแบบเต็มจำนวนและเกินมา 1 บ. ทำให้เราไม่ต้องเติมเงินของตัวเองเข้าไป :) 2. เมื่อวานเราสะสางหน้าตู้หนังสือที่บ้าน ให้กตช่วยเก็บกระดาษใส่กระสอบไปขายของเก่า และจัดหนังสือในตู้อีกหน่อย ตัดใจทิ้งหนังสือ magazine (Japan Perspective) ซึ่งตั้งเอาไว้นานมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เบื่ออ่านนะ แต่ตั้งไว้ก็ไม่ได้หยิบมาอ่านมาก เลยยกให้การชั่งกก.ขายซะเลย เราจะตัดใจหนังสือเป็นระยะๆ ด้วยการเอาไปบริจาคห้องสมุดประชาชนกศน. ----- การอ่านหนังสือ ยิ่งอ่านให้จบเร็วเท่าไหร่ เราก็จะตัดใจบริจาคได้เร็วเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เราว่าเราก็อ่านหนังสือแค่รอบเดียว จะตั้งเอาไว้ให้เต็มตู้ทำไมเนอะ แบ่งๆให้คนอื่นๆอ่าน น่าจะได้ประโยชน์กว่า เดือนที่ผ่านมา Eng. Club และเราจัด Book Discussion เราก็ได้หนังสือจากนิสิตมาอ่านเพิ่มอีก 2 เล่ม "สิ่งที่สำคัญในชีวิต" โดยนิ้วกลม ยืมต่อมาจากบี พิมพกานต์ และครอบครัวที่ลัก (Shoplifter) นิยายญี่ปุ่นละมุนละไม ที่เริ่มจากเราได้ยินว่าเป็นหนังญี่ปุ่นที่ดี เมื่อนิสิตวันนาเดีย ซึ่งเข้าร่วม Book Discussion เขียนว่าเธอกำลังอ่านเล่มนี้ เราเลยแลกกันอ่าน โดยเราให้ยืม "ห้องอาหารนกนางนวล" (ยืมมาจากมอนอีกที อิๆ) ตอนนี้เราก็มี "ครอบครัวที่ลัก" รออ่านอยู่อีก 1 เล่ม