วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

A simple birthday: turn 39



"A birthday is just the first day of another 365-day journey around the sun. Enjoy the trip!" 
                                                                                                                                             Author Unknown 


(วันเกิดแค่เป็นวันแรกจากการเดินทาง 365 วันรอบดวงอาทิตย์ จงมีความสุขกับการเดินทาง)


"สุขสันต์วันเกิดนะ เกิดเมื่อไหร่"

" เกิดนานแล้ว"

บทสนทนาข้างต้นที่โรงอาหารของมหาลัยระหว่างนิสิตผู้ที่เกิดนานแล้วกับคนอวยพร ทำให้เราอดอมยิ้มไม่ได้ ไว้วันหลังเราจะเอาไปตอบมั่งเวลาใครถามว่าเกิดเมื่อไหร่ 

วันเกิดมาถึงอีกแล้วเหรอเนี่ย ปีนี้พยายามทำเงียบๆ ไม่ออกสื่อ FB และเลิกบอกวันเดือนปีเกิดบน FB นานแล้ว ฮ่าๆ เพื่อนที่สนิทๆก็จะอวยพรทางกล่องข้อความเพราะคงเดากันได้ว่าวันเกิดเมื่อนานๆ ผ่านไปหลายพ.ศ. ก็จะ(ทำเป็น)แกล้งลืมกันไปแบบเนียนๆ อิๆ


แต่ละปีที่ผ่านวันเกิด เราหวังว่าเราจะแก่* (คำนี้แสลงใจจัง) กล้าด้วยประสบการณ์ ซึ่ง
น่่าจะดีกว่าการอยู่ไปนานๆ อายุผ่านๆไปโดยยังไม่ได้ทำให้ชีวิตตัวเองหรือใครต่อใครดีขึ้น 

เคล็ดลับ (ใครถามเนี่ย) อารมณ์ดี ยิ้มง่่ายและมีความสุขกับชีวิตเป็นเรื่องไม่ยากสำหรับเรา หนึ่งในนั้นคือต้องคบเด็ก! 

ไม่ว่านิสิตมหาลัยที่เรียนกับเรา หรือนิสิตที่ทำกิจกรรมด้วยกัน ก็จะทำให้เราได้ความคิดใหม่ๆ ความสดใสของวัยพวกเค้าและมองย้อนตัวเองว่าเมื่อก่อนเราก็เคยเป็นแบบนั้น(นะ) 

จะยิ่งดีมากถ้าคบเด็กอายุต่ำๆ นั่นก็คือน้องๆที่บ้านโสสะที่ทำให้เราอารมณ์ดีได้ทุกครั้งเมื่อไปหา เป็นความผูกพันธ์ร่วม 9 ปีของการไปมาหาสู่น้องๆที่นั่น 

วันธรรมดาเราไปหาน้องๆไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็ก (อิๆ แอบคิดเอาเองว่าแบม โอโซน ไก่โต้ง นักเรียนป.3 เลือกเราแล้ว)







วันเกิดปีนี้นอกจากจุ๋มและโอ๋ เพื่อนเก่าและปัจจุบันซึ่งคบกันมาน๊านนานตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย เราก็ยังมีแบม โอโซน เป็นเพื่อนเล่น ท่องโลกแห่งการเรียนรู้ไปด้วยกัน

อืม...ชวนโอ๋ไปรับแบมที่โรงเรียนวิเชียรชมดีกว่า การไปโรงเรียนประถม เห็นเด็กๆสนุกสนาน เจี๊ยวจ๊าว มันก็ทำให้เราฉีกตัวเองจากมหาลัยที่นิสิตจะอยู่เป็นที่เป็นทาง ไม่ค่อยออกมาสู่กลางแจ้ง ไปอีกแบบ

หลักๆของวันนี้ เด็กๆอยากไปกินไอติม ถนนนางงาม 

โอ้ว...แดงไปทั้งบริเวณ เพราะวันตรุษจีนจะเริ่มอาทิตย์หน้าแล้วนี่เนอะ





โอ๊ะ พ่อค้าทำ" ตังเม หรือ น้ำตาลปั้น"  ว่าแล้วก็รีบเร่เข้าไปดูตามนิสัยอยากรู้อยากเห็น(ไปหมด)

โดยทั่วไปเรามักจะชื่นชมห่างๆ แต่เมื่อเคยดูจากรายการ "ฝรั่งหลงกรุง" มันดูมีเสน่ห์มาก การปั้นน้ำ(ตาล) เป็นตัวอย่างรวดเร็ว ออกมาเป็น superman Santa Claus โดราเอมอน มันช่างสุดยอดมาก ภายใน 3 นาทีพ่อค้าก็ทำได้ 1 ตัว (สุดยอดมากๆ) พ่อค้าบอกว่าทำมาตั้งแต่อายุ 16 ปีแน่ะ 

น้ำตาลและสีสังเคราะห์เป็นส่วนผสมหลักในการทำน้ำตาลปั้น โดยการหยิบสีหลากสีตาม character ของสิ่งที่จะปั้นมาจับๆบิดๆ แป๊บเดียวก็ได้ซานตาคลอสที่แบกถุงของขวัญ 



แปะ แปะ แปะ ตบมือด้วยความทึ่งในการทำงานประสานกันทางประสาทตาและมือของพ่อค้า

ราคาอันละแค่ 20 บาท แบบว่านาทีนั้นอยากจ่ายให้พ่อค้ามากกว่านั้นเป็นค่าความคิดสร้างสรรค์ผลงาน

จุ๋มซื้อให้แบมกับโอโซนคนละอัน

เรามีน้องประถม 2 คนมายืนๆมองๆดูด้วยสายตาอยากได้ เรานึกถึงตัวเองตอนเด็กที่ชะเง้อดูขนมเพื่อนแต่ไม่มีเงินซื้อ แล้วก็อยากซื้อให้น้องแต่ก็ไม่แน่ใจว่าน้องจะรับรึเปล่า เพราะเด็กไทยแทบทุกคนถูกสอนมาว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า (ที่หน้าแปลกอย่างเราด้วย) น้องสาวซึ่งอ่อนวัยกว่าคิดอยู่สองวินาทีก็พยักหน้า ในขณะที่พี่ชายยังรักษาฟอร์ม ทำตามคำสั่งแม่อย่างเคร่งครัด 


เราบอกน้องทั้งสองคนว่าเอาเหอะ หากไว้ใจคนแปลกหน้า เพราะว่าเราไม่ได้จับต้อง"น้ำตาลปั้น"เลย (เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและตรงนั้นก็มีคนขายและคนจากโรงงิ้วอยู่อีก 2 คน) น้องเด็กผช.ทนความเย้ายวนและสีสันของ "น้ำตาลปั้น" ไม่ได้เลยเอาด้วย 1 ตัว

เย้!  ในที่สุดเราก็ได้เป็น Santa Claus (ตัวจริง)




หมายเหตุ: ว่าแต่ "น้ำตาลปั้น" นี่มันแข็งมากเลยนะ แอบแทะเท้าซานต้าคลอสได้ข้างเดียวก็ยอมแพ้
เอ๊ะ เราแก่แล้วเหรอเนี่ย ฟันไม่ดี (แน่ะ ยังไม่รู้ตัว)
------------------------------------

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

็Happy Happier Happiest






ทำไมจะสุข ก็ต้องสุข 3 ขั้น สุข สุขกว่า สุขที่สุด (Happy Happier Happiest) มันดูเป็นการแข่งขันเพื่อมีความสุขอย่างไรอย่างนั้น ความสุขที่ได้จากการแข่งขันมีมั๊ยนะ หรือความสุขจะต้องไม่แข่งขันกับใคร เพราะหากแข่งขันก็อาจจะก่อให้เกิดทุกข์ได้ 
เริ่มมีคำถามมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อคิดจะอ่านหนังสือเรื่อง "ความสุข" 
แล้วแบบนี้จะมีความสุขมั๊ยเนี่ย 
อิๆ ยังสงสัยต่ออีก(แน่ะ)

รับปากอาจารย์ณัฐ (บก.วารสารปาริชาต)ก่อนปีใหม่ว่าจะเขียน book review วิจารณ์หนังสือเล่มที่ 2 ให้ หลังจากที่เคยเขียนเรื่อง The Power of Half ไปแล้วเมื่อกค.56 

เราแอบหวังผลไว้ 2 ประการ คือ การรับปากเป็นข้อผูกมัดตัวเองแบบนี้จะทำให้เราตั้งใจอ่านหนังสือ 1 เล่มอย่างจริงจัง มากกว่าที่จะปล่อยให้อ่านจบแล้วก็จบเลย เราอยากสร้างนิสัยการเขียนวิจารณ์หนังสือ เหมือนกับที่เราเคยทำสำเร็จหลังการดูหนังแทบทุกเรื่อง เราก็จะหยิบประเด็นมาเขียนอยู่ช่วงนึง เพื่อให้การดูหนัง 2 ชั่วโมงไม่เสียเปล่า อุตส่าห์เรียนคอร์สทางไกล Critical Thinking in Language Learning & Teaching University of Oregon, USA ซึ่งสอนเรื่องการคิดวิเคราะห์มาแล้วจะได้ไม่เสียเที่ยว อิๆ

2. เรายังหวังผลเลิศอีกอย่างว่า เราจะได้ตัดตอนความยาว 3 หน้าที่เขียนลงวารสาร มาเป็นความยาว 1 หน้ากระดาษ A4 เพื่อส่งไปลง “ขวัญเรือน” อีก หลังจากเพิ่งได้ลงเรื่องไปในปักษ์แรกธันวาคม 56

หลังจากรับปากแล้ว เราก็เริ่มมองหาหนังสือที่มีแง่มุมให้วิเคราะห์ ตอนแรกกะจะเขียนเรื่อง Brain Power ของหนูดี วนิษา เรซ (ยืมจากบูเรียบร้อย กะว่าจะได้เขียนช่วงวันหยุดปีใหม่) แต่ก่อนปีใหม่ เราไปที่ห้อง self-access ของคณะฯ โดยวางแผนว่าจะหาหนังสือน่าอ่านจากที่นี่ไปเขียน เพราะเห็นที่นี่มีหนังสือเพิ่งมาใหม่ น่าอ่านๆเพียบ

ว้าว...เจอหนังสือชื่อเรื่องน่าสนใจกว่า "Happierเปิดห้องเรียนวิชาความสุข" และมันก็ยังเกี่ยวพันกับหนูดี อยู่ดี ตรงที่หนูดีเคยเรียนวิชานี้เมื่อสมัยเรียนที่มหาลัยฮาร์วาร์ด และเธอยังเขียนคำนิยมให้หนังสือเล่มนี้ด้วย

หลังจากใช้เวลาละเลียดอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่เกือบ 2 อาทิตย์ เราก็เริ่มมาคิดๆว่าเราจะเอาแง่มุมไหนของหนังสือมาเขียนดี

อ๊ะ มีบทนึงที่ให้ผู้อ่านนิยาม "ความสุข" "อะไรทำให้เกิดความสุข"
เราเลยได้ที เอามาเป็นคำถามถามเพื่อนๆ นิสิต พี่ๆ รวมทั้งมานั่งคิดคำนึงถึง "ความสุข" ตามประสาเรา

ต่อไปนี้คือนิยาม "ความสุข"

"ความสุข คือ ความสบายใจ เช่น การที่เราได้เป็นผู้ "ให้" กับผู้อื่นหรือสังคมจนทำให้ผู้อื่นมีความสุข ก็จะทำให้เราเกิดความสบายใจและมีความสุขนั่นเอง ความสุขไม่จำเป็นต้องร่ำรวยมีเงินทอง แค่เรารู้จักพอและทำความดี ทำแล้วเรามีความสบายใจ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว"

"ความสุขของเราเป็นอะไรง่ายๆ ได้กินอะไรอร่อย เราก็มีความสุขแล้ว ได้ดูหนังสนุกๆเราก็มีความสุข นั่งนิ่งๆไม่มีเรื่องอะไรหนักหัวเราก็มีความสุข นั่งข้างๆเพื่อนที่เราไว้ใจเราก็ความสุขแล้ว เห็นหมาแมววิ่งไปวิ่งมาเราก็มีความสุข ได้พยุงคนแก่ข้ามสะพานลอย ได้จูงคนตาบอดข้ามถนน ช่วยเค้าดูสายรถเมล์ ได้ช่รยคนเล็กๆน้อยก็มีความสุข อย่างล่าสุดตอนไปงานศพเห็นเพื่ปนที่แต่งงานกันเพราะเราช่วยจีบให้คบกันเป็นแฟนเป็น 10 ปี แต่งกันอีก 10 กว่าปีเค้าก็ยังน่ารักกันอยู่เห็นแล้วมีความสุขมาก ความสุขของเราหาไม่ยาก ไม่ต้องเป็นอะไรใหญ่โตถึงจะทำให้มีความสุข เรื่องเล็กๆน้อยนี่แหละที่ทำให้ทุกวันเรามีความสุข มีความสุขง่ายนิดเดียว แต่ความทุกข์ของคนอื่นชอบทำให้เราไม่เป็นสุขอยู่เรื่อย" 

"ความสุขคือความรู้สึกสบายใจ ที่ทำให้เราอยากยิ้มออกมา สิ่งที่สร้างความสุขอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการได้อยู่ครอบครัว คือการได้ใช้สิ่งที่ตัวมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่น ซึ่งทำตามความพร้อมของตัวเอง หนูคิดว่าเราจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ชีวิตก็มีความสุขแล้วค่ะ"

"ความสุขคือ เราไม่ทุกข์ เราไม่ทำให้ใครทุกข์รวมทั้งตัวเอง ทั้งกายและใจ"

" ความสำราญกาย สำราญใจ"

-----------------------( continued part II)

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

3D Museum: latest entertainment


เราพามินจิ เพื่อนเกาหลีไปเที่ยวสถาบันทักษิณคดีหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา"

เมื่อบอกว่าจะพาไปเที่ยวอีก 1 พิพิธภัณฑ์ เธอทำหน้าตาแบบว่า "พิพิธภัณฑ์อีกแล้วเหรอ" 

ไหนๆก็พามินจิมาหาความรู้เกี่ยวกับภาคใต้เรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้ไม่รู้สึกผิดว่ายังไม่ได้ให้ความรู้กับเพื่อน (เพื่อนอยากได้มั๊ยเนี่ย ฮี่ๆ) ด้วยเกรงว่าจะเสียชื่อนักวิชาเกิน เอ๊ยนักวิชาการ

ดังนั้นพิพิธภัณฑ์ที่กล่าวถึงก็คือ Magic Eye 3D Museum ที่ตลาดกรีนเวย์ หาดใหญ่ เพิ่งเปิดใหม่หมาดๆเมื่อช่วงปลายธันวา 56 ตอนแรกงงๆว่ามันอยู่ส่วนไหนของตลาดแต่นั่งสองแถวไปถึงก็จะเห็นรถทัวร์จอดอยู่ด้านหน้าเลย (นัยว่านักท่องเที่ยวมาเลย์มากันเยอะ แน่ะ! รู้ก่อนคนไทยหลายๆคน) 

ราคาบัตรสำหรับผู้ใหญ่ 200 B. (อ่านจาก FB เห็นว่าหากโชว์บัตรประชาชนว่าอยู่สงขลาก็จะได้ลดเหลือ 150 B. อันนี้เรามาเห็นทีหลังแล้ว ทำให้ไม่ได้ใช้สิทธิ เจ้าหน้าที่น่าจะแจ้งให้นักท่องเที่ยวทราบบ้างนะเราว่า)

ขั้นแรกก็ฝากรองเท้ากันก่อนค่ะ เพราะหลายๆภาพ ผู้ชมต้องเข้าไปเหยียบ ยืนบนภาพ (สำหรับเราลงไปกลิ้งเกลือกกันเลยทีเดียว ฮี่ๆ กะว่า 200 B. ถ่ายไป 200 แอ๊ค แฮ่ม อย่างไม่อายใคร เพราะไม่ได้รู้จักคนแถวนั้นเลย) 


รวมเด็ดภาพประทับใจ



ตุ๊บ! เสียงมะพร้าว เอ๊ยเสียงเราตกลงมาจากฟากฟ้า (ประหนึ่งว่าตัวเองเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ อิๆ) มีเสียงทักว่าเราน่าจะตกมาจากด้านคนนั่งไม่ใช่ด้านคนขับเยี่ยงนี้ เอ่อ ...บนฟ้า ย่อมขับรถกันอย่างไม่ธรรมดา นั่งด้านไหนก็ล่วง




Minjee ซึ่งไม่ยอมลงทุนกลิ้งเกลือกไปกับเราเพราะยังรักษาภาพผู้หญิงเรียบร้อยของเกาหลี อิๆ เลือกที่จะมาเล่นกระดานโต้คลื่นแทน มาดเธอเหลือกินเลยจริงๆจากฟ้าได้เหมือนกัน เอ๊ะ หรือมีใครเตะเราลงมารึเปล่าเนี่ย (ไม่น๊า!)

หาห้องน้ำไม่เจอ งั้นก็เอามันตรงนี้ละ อ๊ะ... อย่าแอบดูเค้าสิ



จ๊าก...ด้วยความรีบร้อน ลืมตัวไปว่าเราเป็นกุลสตรีเรียบร้อยดั่งผ้ายับพับไว้ ต้องไม่ยืนฉี่
เข้าห้องน้ำอย่างกุลสตรีไทยก็ได้ ฮี่ๆ








ปล่อยทุกข์ (กับปีเก่า) เอ๊ย ไม่เกี่ยว ก็สุขาซะที ได้เวลาไปหามุมใหม่ๆ










แงๆ ช่วยหนูด้วย แถวนี้มีแต่สัตว์ป่าดุร้ายทั้งนั้นเลย หนูจะไปไหนดีละเนี่ย