วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

Summer Volunteer Camp: Trang






Summer Volunteer Camp in a rural primary school, A.Palian,Trang

30 students, Chim (the club advisor) & I went to the school to help develop school areas. They repainted walls, gates and decorated classrooms while I spent time teaching kids who are very enthusiastic. Happy to see they like to learn new things.




เราไปออกค่ายกับนิสิตชมรมอาสาที่อ.ปะเหลียน ตรัง เด็กๆที่นั่นน่ารัก ตั้งใจเรียนและกระตือรือร้นเมื่อเจอพี่ๆหน้าใหม่ปะปนอยู่ในรร.




เราไม่ถนัดงานทาสี ขุดดิน เลยใช้เวลาสอนเด็กๆเป็นส่วนใหญ่ สอนได้ทุกวิชา ยกเว้นคณิตฯ การสอนเด็กๆระดับประถม ข้อดีคือหากพวกเค้าสนใจเรียน หน้าตาท่าทางจะออกแนวกระตือรือร้นมากๆ แย่งกันยกมือตอบ ชอบมากค่ะ 




แอบไปนั่งหลังห้องตอนคุณครูสอนสวดสรภัญญะ เรื่องแบบนี้ชาวพุทธไกลวัดอย่างเราลืมไปหมดแล้ว ได้โอกาสรื้อฟื้นแฮะ



พี่ๆน้องๆสาขาประวัติฯใจดีรวมเงินกันซื้อข้าวสาร เราเลยขอร่วมด้วย
ถือเป็นข้าวสารเพื่อชาวค่าย (อ.ฉิมจะถ่ายรูปเพื่อบอกเพื่อนๆว่าซื้อข้าวสารจากเงินบริจาคของเพื่อนๆแล้ว 
เราเลยขอร่วมด้วย เพราะต้องมากิน นอน อยู่ที่นี่ 2 วัน)



 เอ่อ...เพื่อให้ดูเป็นแม่ครัวหัวป่าก์ เรากับคุณครูที่นั่นเลยทำนมเย็นให้นิสิตในค่าย
เย้! ไม่มีใครท้องเสีย เราเพิ่งรู้ว่ามันทำง่ายมากแค่เอานมสด (ของเด็กนร.ที่รร.ได้รับแจกและน้ำเฮลบลูบอยสีแดงผสมกันก็ได้แล้ว ร้านขายน้ำบางร้านใส่นมตราเหยี่ยวด้วยเพื่อให้มัน แต่แค่นมสดก็เอาอยู่แล้ว)

-----------------
หมายเหตุ: เป้าหมายแรกของทุกปีคือต้องทำงานอาสาสมัครด้วยการออกค่าย 3 ค่าย เราทำไป 1 ครั้งแล้ว ฮูล่า ...หาแต้มต่อไป

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

Oh My God: Oh My Ghost




หลังจากที่เคยอยากดูหนังเรื่อง Oh My Ghost คุณผีช่วย ในโรงหนัง (นานๆอยากจะดูหนังในโรง) เพราะคิดว่าน่าจะสนุกดี และการดูหนังผีในโรงน่าจะไม่น่ากลัวเหมือนนั่งดูคนเดียวที่บ้าน สุดท้ายเราก็ไม่ได้ดูเรื่องนี้จนมันออกจากโรง

ได้ดูซีดีวันนี้ อยากบอกว่า OMG ผิดหวังมาก กะว่ามันจะต้องน่ากลัว ขำ ซึ้ง แต่ว่าความน่ากลัวไม่ค่อยมา ขำ (แล้วเหรอ) ไม่มีฉากหัวเราะฮากลิ้งเลย เหมือนมุขมันแป๊กอยู่ตลอดเวลา ความรักระหว่างตุ๊กกี่(คน) กับ คริส หอวัง (ผี) ก็ทำได้ไม่เนียน ไม่ได้รู้สึกว่าคู่นี้เป็นเพื่อนแท้ รักกัน ไม่รู้เพราะพอจะ build  อารมณ์ ก็ตัดไปฉากอื่นซะทุกครั้ง แบบนั้นรึเปล่า


นั่งดูอย่างลุ้นๆว่าฉากต่อไปคงขำ อ้าว ยังไม่ขำอีกเหรอ เลยทนๆดูไปจนจบ
ตุ๊กกี๊กับคริส ไม่สามารถการันตีได้เลยว่าหนังจะขายได้และสนุก ทั้งๆที่โปสเตอร์หนังดูน่าสนใจ ไปกับความคิดที่ว่าผีคริสจะตามติดตุ๊กกี้จนหลอนได้ยังไง บางมุขพยายามจะให้ขำ แต่มันมุขซ้ำๆ และไม่เห็นมุขใหม่ๆเลย แย่จัง

ปกติดูหนังเรื่องไหน เรามักจะมีมุมที่สามารถเอามาเขียนเล่าต่อในบล๊อคได้ แต่เรื่องนี้เราว่าน่าจะเป็นเรื่องแรกที่เราไม่ชอบ แล้วหยิบมาเขียนถึง

---------------------------------

ลิขิตรักลัดฟ้า



เมื่อคืนตั้งใจว่าจะอ่านนิยายสักครึ่งเรื่องเพื่อเป็นรางว้ลการตรวจข้อสอบวิชา Academic Reading ที่จวนเจียนจะเสร็จมาหลายเพลา แต่ก็ตรวจวาง ตรวจวางอยู่เรื่อยๆ ไม่เสร็จซักกะที ฮ่าๆ

เข้าห้องสมุดเมื่อวันก่อน เราเดินๆไปดูมุมนิยายรักซึ่งจัดแสดงเอาไว้ อันเนื่องมาจากเดือนแห่งความรัก เลยมีนิยายรักมากมายให้ผู้ใช้ห้องสมุดได้ยืมไปฝันหวาน

หลังจากเดินวนๆ โต๊ะแสดงหนังสืออยู่หลายรอบ เราเห็น " ลิขิตรักลัดฟ้า" เลยหยิบขึ้นมาดูด้วยความคาดหวังว่าน่าจะเป็นเรื่องราวของคนทำงานการบิน แอร์ สจ๊วต อะไรประมาณนั้น




เรื่องนี้มาจาก series ลัดฟ้าแอร์ไลน์  ที่ประกอบไปด้วย 4 เรื่อง (ลัดฟ้าวิวาห์ลวง พรหมลัดฟ้า ลิขิตรักลัดฟ้า วาดรักลัดฟ้า) พลิกเข้าไปอ่าน "ลิขิตรักลัดฟ้า" มีการแนะนำเอาไว้ว่าควรเริ่มอ่านจากเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นๆ

อืม...ได้ๆ เพราะโดยทั่วไปเรื่องแรกมักจะสนุกเพื่อเรียกผู้อ่านให้ติตตามเล่มต่อไปอยู่แล้ว ยืมเรื่องนี้แล้วกัน

โอ้ว...จากที่ตั้งใจจะอ่านแค่ครึ่งทาง แต่มันวางไม่ลงมากๆ อ่านจนจบ! แบบไม่อยากดูเวลา กลัวจะเห็นว่าเลยเที่ยงคืนแล้วจะผิดเวลานอน 55



ไม่น่าเชื่อว่าการอ่านนิยายก็ให้ความรู้ได้ และเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เช่น การปลูกกล้วยป่าเพื่อรักษาผืนป่า เรารู้สึกชมชอบเล่มนี้ที่เขียนถึงการทำงานอาสาในที่ห่างไกล เพราะหากเล่มนี้ดังหรือนำไปทำเป็นละคร (อย่างที่เป็นข่าว) หลายคนที่ได้อ่าน/ดู จะได้มองงานอาสาฯว่าเป็นงานที่ทำแล้ว so cool ดีกับตนเอง (รู้จักการมองออกไปจากตัวเอง ดั่งเช่นพระเอกที่เอาแต่เศร้าเพราะอกหัก จนไม่รับรู้เรื่องราวรอบตัว เมื่อต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก และเห็นคนอื่นๆร่วมกันทำงานอาสาฯ พระเอกก็เลยทำด้วยแก้เบื่อ ทำไปทำมาก็ติดใจ และคิดได้ว่ายังมีคนอีกมากมายและสังคมที่ต้องการการช่วยเหลือ การทำงานอาสายังทำให้พระเอกปล่อยวางจากเรื่องตนเอง และหันมาใส่ใจคนรอบข้าง เข้าใจคนรอบข้างที่ต้องทุกข์เพราะเห็นพระเอกทุกข์)

เรามา google หาเรื่องการปลูกกล้วยป่า ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า กล้วยป่าจะมีเมล็ดเยอะมาก และหากมันแพร่พันธุ์ต่อไปด้วยสัตว์ป่า เช่น นก ค้างคาว มันก็จะขยายป่ากล้วยออกไป และการปลูกกล้วยเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่า ทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์ ไม่ร้อนและแห้งแล้งอีกด้วย เนื่องจากมันอุ้มน้ำได้สูง ทำให้ผืนดินมีความชุ่มชื้น

------------------

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

Eat, Pray, Love อิ่ม มนต์ รัก สุดขอบฟ้า





ผู้เขียน: อลิซาเบท กิลเบิร์ต
ผู้แปล: เมวิตา วงศ์วิเชียรชัย
ผู้แนะนำ: กชพร 

Eat pray love หรืออิ่ม มนต์ รัก สุดขอบฟ้า ในฉบับภาษาไทย หนังสือขายดีที่มียอดจำหน่ายหลายล้านเล่ม แปลไปทั่วโลกหลายภาษา ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของตัวผู้เขียนผ่านตัวหนังสือในฐานะนักเดินทางในต่างแดนสามประเทศ อย่างอิตาลี อินเดีย และอินโดนีเซีย ในจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน

Eat pray loveคำโดดๆ สามคำที่เขียนเด่นอยู่กลางหน้าปก ชื่อเรื่องที่เมื่อดิฉันเห็นครั้งแรกก็ชวนให้สงสัยว่าเนื้อหาในหนังสือจะเกี่ยวข้องอะไรกันกับชื่อเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ตัวปกของหนังสือที่ถูกออกแบบด้วยรูปภาพที่ม้วนขดเป็นตัวหนังสือนั้นก็ล้วนเข้ากันดีกับชื่อเรื่องเหลือเกิน ตัวอักษรสีเหลืองอ่อนของเส้นมะกะโรนีที่แทนคำว่า Eatประคำเส้นสีน้ำตาลที่แทนด้วยคำว่า Prayและสุดท้ายตัวอักษรสีชมพูที่ใช้ดอกไม้เป็นสื่อกลางแทนคำว่า Loveเห็นได้ชัดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่ดีเรื่องหนึ่ง เพราะแม้แต่ตัวหน้าปกก็ยังถูกใส่ใจในเรื่องรายละเอียดซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในหนังสือ







เรื่องราวถูกถ่ายทอดผ่านหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่วันหนึ่งก็มีจุดพลิกผันให้เรื่องทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมายที่ทั้งเศร้าสนุกสนาน และมีรอยยิ้ม เธอไปอิตาลีเพื่อตามหาความสุขจากการลิ้มรสอาหาร  ไปอินเดียเพื่อตามหาจิตวิญญาณที่หล่นหาย และสุดท้าย อินโดนีเซีย เพื่อตามหาความรัก

หนังสือได้ถูกเรียบเรียงไว้ด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก ผู้เขียนมีการใช้เทคนิคต่างๆ ที่ทำให้เรื่องราวน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น ทั้งการเล่าย้อนเรื่องราว ที่แสดงให้เห็นเบื้องหลังของตัวละคร มีการเปรียบเทียบสิ่งต่างๆในเรื่องอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างเช่นตอนหนึ่งที่เธอได้กล่าวถึงความเหงา และความซึมเศร้าที่ทำราวกับเป็นตำรวจที่คอยติดตามและตรวจค้นตัวเธอ รวมทั้งฉากที่เธอกินพิซซ่า ทุกคำพูดที่เธอใช้ ฟังชวนให้น้ำลายไหลจริงๆ


หนังสือเรื่องนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านหลายคน โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาด้านความรักและกำลังค้นหาตัวเอง การอ่านเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนการโดนกระตุกหัวใจ แต่สำหรับนักอ่านท่านอื่นที่ไม่มีประสบการณ์อย่างนี้ สิ่งแรกที่ท่านจะได้รับคือ ความสนุก ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาระหว่างการเดินทางไปยังทั้งสามประเทศของผู้เขียน ประหนึ่งว่าท่านเป็นตัวละครนั้นเสียเอง และอีกอย่างหนึ่งที่ท่านจะได้รับจากหนังสือนี้ คือ ความคิดต่างๆที่ถูกถ่ายทอดโดยตัวละคร อย่างเรื่องของการเปลี่ยนแปลงชีวิต หรือการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ที่อาจจะใช้เวลาไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนไม่ได้เสียทีเดียว

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

ไล่ตงจิ้น: ไล่ฝันการลง "ขวัญเรือน"





สงสัยต้องหาเรื่อง "ไล่ตงจิ้น ลูกขอทาน" มาอ่านซะแล้ว หลังจากที่ google เพื่อหาภาพประกอบให้เมย์ซึ่งเขียน book review เรื่องนี้ แล้วพบว่ามันมีเวอร์ชั่นการ์ตูนด้วย !  นี่แสดงว่ามันดังมากๆ และดีมากๆจนทำให้มีการทำฉบับการ์ตูนเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบภาพประกอบและเนื้อความน้อยๆ

ในฉบับนิยาย(จากเรื่องจริง) มีการโปรยปกว่าพิมพ์ขายมา 4 ล้านเล่มในไต้หวันและพิมพ์ซ้ำมา 40 ครั้ง (หากจำไม่ผิด) ว้าว! สุดยอดเลยอ่ะ ที่หนังสือเล่มนึงมันจะมีผู้อ่านขนาดนี้

ตอนเราไปฟังอบรมของกิจกรรมหลักสูตรนอกชั้นเรียน วิทยากรจากมหาลัยวลัยลักษณ์ แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้นิสิตไปอ่าน และแนะนำหนัง  Children of Heaven เอาไว้

เย็นนั้นเรากับน้องนกไปห้องสมุด และนกยืมเรื่องนี้ไปอ่าน

แต่คนที่อ่านจบคนแรกคือเมย์ ซึ่งเธอบอกว่าประทับใจมาก ถือไปถือมาระหว่างบ้านกับที่ทำงานและอ่านจบในเวลาไม่กี่วัน เนื่องจากเรื่องมันซาบซึ้งและลุ้นไปกับตัวละคร

เรายุให้เมย์เขียน book review เรื่องนี้ในวันหยุด เธอสนุกไปกับความคิดนี้และเขียนเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

ดีจัง! เรารอลุ้นไปด้วยกันว่าจะได้ลง "ขวัญเรือน" ฉบับไหน  book review ของเธออ่านสนุกจนเราอยากอ่านเล่มนี้เร็วๆแล้วสิ

-------------------------

Book Review: ไล่ตงจิ้น ลูกขอทานผู้ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต






ผู้เขียน:  Lai Dong Jin 
ผู้แปล: วิลาวัลย์ สกุลบริรักษ์
ผู้แนะนำ: เมย์

                หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออัตชีวประวัติเล่าเรื่องราวชีวิตของเด็กชายขอทานคนหนึ่งและครอบครัวของเขาอีก       14 ชีวิตที่เขาต้องดูแลโดยการขอทานแลกอาหารเพื่อความอยู่รอด
                ก่อนอื่นฉันอยากจะเล่าถึงที่มาที่ได้รู้จักหนังสือเล่มนี้สักนิด วันนั้นมหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมให้นักศึกษาและได้เชิญวิทยากรท่านหนึ่งมาบรรยาย ในขณะบรรยายท่านได้พูดถึงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ไล่ตงจิ้น ลูกขอทาน

ฉันเพิ่งได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก วิทยากรเอ่ยถึงขนาดนี้คงจะเป็นหนังสือที่เป็นประโยชน์แน่ๆ ฉันคิดและอดไม่ได้ที่จะจดชื่อไว้ หมายมั่นว่าจะไปหาอ่านสักครั้ง จนอาจารย์ของฉันได้เอาหนังสือเล่มนี้มาให้ฉันอ่าน (ได้อ่านเร็วมากเลยค่ะ)  ตอนแรกที่ได้มาคิดว่าคงจะอ่านไม่จบแล้ว เพราะว่าเป็นคนอ่านหนังสือช้าแต่อ่านไปอ่านมาก็ใช้เวลาอ่าน 2 วันเต็มๆจนจบ (มันนานไปไหมคะ อิอิ)
                ฉันอ่านตั้งแต่หน้าปกและพลิกอ่านไปเรื่อยๆ  ทยอยอ่านไป ทีละหน้าและจินตนาการ นึกภาพชีวิตของเขา (ต้องอ่านช้าๆนิดนึงนะคะ ผู้อ่านจะสามารถนึกภาพชีวิตเขาตามได้) ซึ่งเรื่องนี้มีทั้งหมด 49 ตอน และบทส่งท้าย น่าติดตามทุกตอนเลยค่ะ
                “ไล่ตงจิ้น เริ่มขอทานตั้งแต่อายุ 5 ขวบเพื่อเลี้ยงดูพ่อที่ตาบอด แม่กับน้องชายที่สติไม่ดี และพี่น้องของเขาอีก 14 คน เขากับพี่สาวของเขาเป็นหัวเรือใหญ่นำพาครอบครัวเร่ร่อนไปขอทานตามที่ต่างๆ แน่นอนว่าชีวิตของเขาต้องพบพานกับอุปสรรคมากมาย ทั้งดูแลพ่อ แม่ และน้องซึ่งก็ลำบากอยู่แล้ว ผู้คนที่เขาเที่ยวไปขอทานก็ดูถูกเขาอีก แต่จากชีวิตของเขามีอะไรหลายอย่างที่ซ่อนอยู่เป็นข้อคิดดีๆมากมาย
                ฉันอยากแบ่งปันประโยคดีๆ จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ
 มีประโยคหนึ่งบอกว่า ความจนสอนให้เราเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยน และการปรับเปลี่ยนทำให้ผ่านอุปสรรคไปได้ และนี่คือปรัชญาของการอยู่รอด  
                มีประโยคหนึ่งที่ไล่ตงจิ้นบอกกับตัวเองไว้ว่า ผมบอกกับตัวเองว่า การตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้นควรจะทำให้ทันเวลา และควรทะนุถนอมสิ่งที่มีตอนนี้ให้ดีที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาตราบจนกระทั่งวันนี้ ผมไม่เคยโกรธหรือคิดที่จะกล่าวโทษพ่อแม่เลยอาจเป็นเพราะผมได้ข้อคิดนี้ตั้งแต่อายุสี่ขวบก็เป็นได้
                “ใบประกาศเกียรติคุณแผ่นบางๆ เทียบไม่ได้กับอาหารที่เขาขอทานมาได้สักมื้อ
เกียรติยศเทียบอะไรไม่ได้กับการหาที่ซุกหัวนอน ที่พอจะใช้กันแดดบังฝนให้คนทั้งครอบครัว

 นี่เป็นเพียงประโยคจากบางบทบางตอนจากหนังสือ อ่านแล้วก็ชวนให้ฉุกคิด
                เรื่องราวของไล่ตงจิ้นอ่านแล้วได้ทั้งข้อคิด กำลังใจ ได้เห็นชีวิตแนวคิดของคนขอทาน การต่อสู่ชีวิตฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนได้ดี (ต่อมาไล่ตงจิ้นกลายบุคคลที่มีชื่อเสียงของประเทศไต้หวัน) หากใครที่รู้สึกท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจ หรืออยากอ่านเปิดมุมมองความคิดให้เห็นชีวิตของคนอีกด้านหนึ่ง  รับรองว่าหนังสือเล่มนี้มีครบทุกอย่างให้อ่านเลยค่ะ อาจกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่สร้างกำลังใจให้แก่ผู้อ่านก็ได้นะคะ (รวมถึงผู้เขียนด้วย อิอิ)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

Book Review: อยากเป็นไกด์ ไม่ไกลเกินก้าว



อยากเป็นไกด์ไม่ไกลเกินก้าว ภาคไกด์ต่างประเทศ



เป็นหนังสือแนวท่องเที่ยวและแนะนำอาชีพในเวลาเดียวกัน เป็นหนังสือที่อ่านง่ายอีกเล่มหนึ่ง ปกติดิฉันจะเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าแต่ด้วยภาษาที่ง่ายๆ และสนุกทำให้ดิฉันอ่านจบในเวลาสองวัน เนื้อหาแบ่งเป็น 20 บทสั้นๆ แต่ละบทผู้เขียนจะสอดแทรกเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ ที่ไกด์ใช้ในการเอาตัวรอดและการทำให้ลูกทัวร์ในทริปนั้นๆ ประทับใจ 

                นอกจากภาษาง่ายๆเป็นกันเอง เสน่ห์อีกอย่างของหนังสือเล่มนี้คือความสารถของผู้เขียนในการใช้คำบรรยายเหตุการณ์และสถานที่ต่างๆจนผู้อ่านจินตนาการได้โดยปราศจากรูปภาพประกอบ บางเรื่องเป็นเรื่องที่ใครๆก็นึกไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ที่สนามบินหลังป้ายโฆษณาจะมีเจ้าหน้าที่เป็นสิบสิบคนนั่งตรวจตราความเรียบร้อยผ่านกระจกที่สามารถมองเห็นเพียงด้านเดียว ยิ่งกว่านั้นพิพิธภัณฑ์บางที่ในต่างประเทศกลุ่มนักท่องเที่ยวจะต้องเดินกันเป็นกลุ่ม จะเดินตามใจชอบเหมือนบ้านเมืองเราไม่ได้ ใครจะคิดว่าคุณจะได้รับความรู้รอบตัวใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยทราบมาก่อนจากการบอกเล่าประสบการณ์ของไกด์ในหนังสือเล่มนี้ 

                ไม่ใช่แค่คนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นไกด์ที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่คงจะมีประโยชน์ไม่น้อยคนที่กำลังมองหาเกร็ดความรู้ก่อนเดินทางท่องเที่ยวในต่างที่ต่างแดน เพื่อจะได้ไม่เสียทีให้กับกลุ่มมิจฉาชีพหรือแม่แต่บริษัททัวร์ที่คุณต้องการใช้บริการในอนาคต  

                ตอนแรกที่ดิฉันเห็นชื่อหนังสือดิฉันคิดว่าเนื้อหาข้างในคงน่าเบื่อ เหมือนกับหนังสือสารคดีทั่วไป แต่หลังจากดิฉันตัดสินใจเปิดอ่าน ดิฉันหลงใหลในรูปแบบการบรรยายเรื่องของผู้เขียนที่ทำให้หนังสือน่าสนใจ ด้วยการบรรยายสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายๆแห่งในประเทศสวีเดน โปแลนด์ ฟินแลนด์ อังกฤษ เดนมาร์ก และประเทศอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายคนหมายปอง หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้เขียนบอกเล่าที่ดิฉันต้องการอยากไปสัมผัสมากที่สุดคือโรงแรมแอปเพิลแบร์กและพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมเครื่องใช้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในครั้งที่พระองค์เสด็จเยือนประเทศสวีเดน อย่างไรก็ตามดิฉันต้องใช้เงินจำนวนมาก ดิฉันแอบคิดถ้าหากมีโอกาสเป็นไกด์ก็คงจะดีไม่น้อย ที่จะถือโอกาสทำงานสนุกๆและเที่ยวในเวลาเดียวกัน ไกด์ช่างเป็นงานที่ให้กำไรสองจริงๆ


                                                                                                                                                                วัลลภา 

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

Wanlapa & her hunt for the latest Kwanreun Magazine




Congrats Wanlapa for her book review 'อยากเป็นไกด์ไม่ไกลเกินก้าว' that was just published in Kwanreun Magazine last month. She's got a book as a prize.

For those who love reading & writing, why don't sharing what you've learned from the book you read and share it with general audience. This'll help you improve your critical reading and writing skills.

Want more info. of how your story can publish in the mag., just ask Aj.Nok via her FB.





การเขียนวิจารณ์หนังสือลงนิตยสารเป็นเรื่องไม่ยาก หาหนังสือสักเล่มที่อยากเขียนถึงแล้วเขียนประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4 ส่งไปถึงหนังสือ"ขวัญเรือน" รอเวลาสัก 2 เดือนรอฟังข่าวดีและรับหนังสือเป็นค่าตอบแทน 

วัลลภาเรียนวิชา English for Hospitality 2 และได้รับมอบหมายให้อ่านหนังสือเรื่อง "อยากเป็นไกด์ไม่ไกลเกินก้าว" เป็นส่วนหนึ่งของการเรียน เพื่อไม่ให้การอ่านสูญเปล่าเลยบอกให้เธอส่งไปลงหนังสือ 


 เราอ่าน book review ของเธอ 1 รอบ ให้ความเห็น ส่งกลับให้เธอแก้ หลังจากนั้นก็ส่งอีเมลที่เราเขียนถึงสนพ.ขวัญเรือนให้เธอดูตัวอย่างว่าเวลาเราเขียนเสนอเรื่องของเราต้องเขียนประมาณไหน

น่าปลื้มใจที่เรื่องของเธอได้ลงภายใน 2 เดือน (ปักษ์หลังกพ.57) 

ส่วนตัวข้าพเจ้าใช้เวลาถึง 4 เดือน กว่าจะได้ลง (เรียกว่าลืมกันไปเลยทีเดียว:)


เหมือนเธอจะประสบความสำเร็จกว่าเรานะเนี่ย!

---------------------------
(เหตุการณ์ก่อนหน้า)

หนูจะไม่ไปไหน ถ้าไม่ได้นิตยสารขวัญเรือนปักษ์หลัง กพ. 
มาอ่านบทวิจารณ์หนังสือของตัวเอง ที่อาจารย์คะยั้นคะยอให้เขียน... นั่งจ้องอยู่เลยค่ะ มีคนอ่านอยู่ อ่านนานๆๆ มากๆๆๆ อิอิ




ก่อนหน้านั้น เมื่อทางขวัญเรือนโทรไปแจ้งว่าเรื่องของเธอได้ลง เธอก็ใช้วิธีไปหาหนังสือเล่มนี้ที่ห้องสมุด ไปนั่งรออยู่นานเมื่อเห็นมีคนอ่านเล่มนี้ ปรากฎว่าเธอจำเล่มผิด ! การรอคอยเลยเสียเปล่า 
เรียกว่าร่วม 3-4 วันที่เธอเข้าหอสมุดเพื่อตามล่าหา "ขวัญเรือน" ฉบับล่าสุด 

-----------------

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

Book Review: Ohayo Japan สวัสดีญี่ปุ่น

ชื่อหนังสือ   Ohayo Japan สวัสดีญี่ปุ่น

ผู้แต่ง :  พงคุง ณ กรุงโตเกียว

ผู้แนะนำ: Nok-san



 เชื่อว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันของใครต่อใครที่อยากจะไปเที่ยวให้ได้สักครั้งในชีวิต ฉันก็เป็น 1 ในคนเหล่านั้นที่พยายามทำตามความฝัน แต่เนื่องจากการไปเที่ยวญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ฉันเลยพยายามสอบทุนอบรมระยะสั้นจนสำเร็จจนได้ไปตามรอยซากุระเป็นเวลา 2 เดือน โดยแทบไม่ออกค่าใช้จ่ายใดๆ

การที่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาก่อนทำให้เมื่อได้มาอ่านหนังสือ How To เรื่อง Ohayo Japan สวัสดีญี่ปุ่น ซึ่งเขียนจากประสบการณ์ของนักเรียนไทยในญี่ปุ่น ส่งผลให้ก่อนอ่านฉันเคลือบแคลงเล็กน้อยว่าสิ่งที่รู้มาตอนอยู่ญี่ปุ่นกับสิ่งที่ผู้เขียนเขียนถึงญี่ปุ่นในครั้งนี้ จะทำให้การอ่านเรื่องญี่ปุ่นครั้งนี้ดูจืดชืดหรือเปล่า

หนังสือเล่มนี้โปรยปกเอาไว้ว่าเป็น 65 วิธีที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นแบบสบาย สบาย ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างมาก  ฉันพบว่าหากใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วนึกภาพตาม (โดยเฉพาะคนที่เคยไปญี่ปุ่น)จะขำไปกับคำแนะนำทั้ง 65 วิธีของผู้เขียนซึ่งทั้งจิกกัดสังคมญี่ปุ่นและสังคมไทย (เอ๊ะ ยังไง) หากผู้อ่านอ่านอย่างพิเคราะห์จะเห็นหลายอย่างที่บ้านเราควรเอาเป็นแบบอย่าง ในขณะที่บางครั้งเราก็จะรู้สึกร่วมไปกับผู้เขียนว่าสังคมไทยช่างน่าอยู่กว่าญี่ปุ่นมากนัก

หนังสือเล่มนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการเที่ยวญี่ปุ่นอย่างรู้เขา รู้เรา เป็นนักท่องเที่ยวที่รู้มารยาทสากล อย่างที่เห็นๆจากข่าวที่ผ่านมาว่าคนไทยยี้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่เข้าประเทศไทยและไม่เคารพต่อสถานที่และผู้คน ดังที่เป็นข่าวอยู่เนืองๆ ดังนั้นหากก่อนไปญี่ปุ่นได้มีโอกาสอ่านเล่มนี้ จะทำให้การไปญี่ปุ่นเป็นเรื่องสบาย สบาย อย่างที่ผู้เขียนอ้างถึงแน่นอน

ขอยกตัวอย่างน่ารักๆจากเรื่อง เช่น การปั่นจักรยาน ฉันรู้สึกร่วมไปกับเรื่องนี้เพราะเพิ่งรู้ตอนไปอยู่ที่นั่นว่ามีกฎหมายห้ามซ้อนท้าย (เอ่อ...รวมทั้งซ้อนหน้าด้วยนะคะ เดี๋ยวคนไทยบางคนจะมีข้ออ้าง) เคยสอบถามเพื่อนญี่ปุ่นเค้าบอกว่าจักรยานถูกสร้างมาสำหรับคนๆเดียวปั่น เรื่องนี้ช่างตรงกันข้ามกับเมืองไทยที่การปั่นจักรยานซ้อนท้ายโดยเฉพาะกับคนรักเป็นเรื่องโรแมนติก แต่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของฉันนึกเรื่องนี้ไม่ออก  ฮ่าๆ

การหาถังขยะในญี่ปุ่นช่างเป็นเรื่องยากเย็น อันเกิดจากความคิดที่ว่าคนสร้างขยะต้องรับผิดชอบ ต้องเอาไปทิ้งที่บ้านหากหาถังขยะในบริเวณนั้นไม่เจอ สิ่งนี้ทำให้ฉันเห็นด้วยกับผู้เขียนและนึกถึงความพยายามลดขยะ หากเราลำบากในการหาที่ทิ้ง เราก็จะพยายามไม่สร้างขยะ ในขณะที่หากเป็นสังคมบ้านเรา เมื่อไม่เห็นถังขยะก็มีข้ออ้างในการทิ้งเกลื่อนกลาด บางคนอาจโทษสถานที่นั้นๆว่ามีถังขยะไม่พอเพียง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งๆที่ถังขยะหาได้ทั่วไปในประเทศไทยๆก็ยังมีปัญหาการทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทางเพราะอะไร

คนญี่ปุ่นเดินเร็วมาก และชอบการเดิน ที่น่าแปลกสำหรับฉันคือแม้แต่สระว่ายน้ำที่ประเทศนี้ก็มีลู่ให้เดิน !
(จะเดินกันไปถึงไหน) โดยสระว่ายน้ำของโรงแรมที่ฉันเคยไปใช้บริการแบ่งลู่ออกเป็นลู่ว่ายน้ำและลู่เดิน ที่ลู่เดินคนที่จะว่ายน้ำก็จะไปว่ายน้ำไม่ได้ ต้องเดินเท่านั้น ฉันว่าวัฒนธรรมการเดินของพวกเขาฝังรากลงไปในทุกกิจกรรมที่พวกเขาทำ (การเดินถือเป็นการออกกำลังกายในน้ำสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องหัวเข่า การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกตรงหัวเข่าอีกด้วย)

ฉันขอสรุปว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะทั้งอ่านเอาฮาและเอาสาระ หากได้อ่านมีสิทธิวางไม่ลง รู้ตัวอีกที อ่านจบเล่มไปแล้วในรวดเดียวก็เป็นได้ค่ะ!

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

เกาะหรรษา: กว่าจะถึงฝั่ง ( part I)




I've just had a very exciting boat trip to the Puyu Island in Satun as the sea's very rough. Our TSU team didn't know what to do, just prayed and hoped we could reach the shore safely. It was a long 20-minute journey indeed. However, seeing school kids dressing in local muslim styles made us feel better. They're very lovely and bright in these uniforms.





ไปนิเทศรร.เกาะยาวและโรงเรียนตันหยงกาโบยบนเกาะปูยู อำเภอเมือง สตูล 

ขาไปพวกเราเจอคลื่นลมแรง น่ากลัวจนแทบทุกคนหยิบเสื้อชูชีพมาใส่เพื่อช่วยเรื่องความรู้สึกว่าจะถึงที่หมายปลอดภัย



20 นาทีของการนั่งเรือช่างยาวนาน จะรอดมั๊ยเนี่ย เรานึกไปถึงปีที่แล้วที่ไปเกาะหลีเป๊ะกับเอกสังคมศึกษา คลื่นสูงมาก เรือโยนตัวอยู่ตลอดเวลา น่ากลัวสุดๆ


ครั้งนี้ถึงจะไม่ใช่ขนาดนั้นแต่เรือก็โคลงเคลงตลอดเวลา ดีที่ไม่มีใครเมาเรือ
โชคดีที่ขากลับเป็นช่วงน้ำลงเลยไม่มีปัญหานั่งเรือที่เหมือนนั่งรถไฟเหาะ(เวอร์ชั่นทะเล) ถึงจะว่ายน้ำเป็น โรคกลัวน้ำเราก็จะกำเริบเป็นระยะๆเมื่อนั่งเรือระยะไกล ฮ่าๆ  การมาเกาะนี่ช่างให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้นดีแท้ๆ








พอเรือจะจอดที่ท่าก็จอดไม่ได้ซะอีก โชคดีที่่คนขับเรือสามารถหาที่จอดท้ายเกาะได้ ไม่งั้นคงลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำกันอีกนาน 


เมื่อขึ้นมาบนฝั่ง การมองทะเลก็เปลี่ยนไป รู้สึกน้ำทะเลสีเขียวสวย เนื่องจากแดดดี ในขณะที่ตอนอยู่ในเรือ ไม่มีสติที่จะมองเห็นความงามของทะเลเลย อิๆ  คุณครูที่รร.เกาะยาวบอกว่าช่วงนี้คลื่นลมแรงมาหลายวันแล้ว (เรานึกในใจว่าทำไมไม่แจ้งทีมนิเทศบ้าง จะได้เลื่อนวันมา ไม่ใช่ต้องมาเสี่ยงชีวิตแบบนี้ ไอ้เราก็เลือกมานิเทศวันนี้เพราะเป็นการนิเทศวันสุดท้ายของเทอมนี้ ซึ่งเราเลื่อนมาหลายครั้งเนื่องจากภาระกิจการสอน กลัวสอนไม่ทัน 


ศ.28/2/14 ปลอดคิวที่สุด เพราะปิดคอร์สกันเสร็จแล้ว เรียกว่างานราษฎร์ไม่ทำให้งานหลวงเสีย :) ไม่นึกว่าวันดีๆอย่างนี้ คลื่นลมไม่เป็นใจเอาซะเลย 










นร.ที่นี่แต่งกายลำลองในวันศุกร์ ดูน่ารักและสดใส (อยากใส่บ้าง อิๆ) ฟังจากคุณครูมาว่าเป็นชุดแบบมลายู เพิ่งเริ่มใส่เมื่อสองเดือนก่อน (ว่าทำไมยังดูใหม่มาก) โดยทางรร.ออกค่าชุดให้นร. คุณครูบอกว่าผู้ปกครองไม่ค่อยออกเงินสนับสนุนค่าใช้จ่าย (สงสัยถือว่าเป็นหน้าที่ของรร.) เรื่องแบบนี้บอกถึงความร่วมมือของผู้ปกครองนะเนี่ย เพราะหากรร.ไม่มีงบประมาณ แสดงว่าเด็กๆก็จะไม่มีชุดดีๆใส่สิเนอะ 








เราเข้าไปดูห้องเรียนประถม 1 ซึ่งไม่มีคุณครูสอน เลยสอนซะเอง เพื่อจะได้รู้พัฒนาการของเด็กๆ เราพบว่าเด็กๆอ่าน เขียน ภาษาไทยยังไม่คล่อง และการเรียนการสอนเป็นไปได้ช้า เมื่อลองให้นักเรียนเขียนคำศัพท์จากหนังสือเรียน เช่น ลูกบอล ปูนา ช้าง มีหลายคนที่ยังเขียนไม่ได้ 

ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเราชูภาพ "ภูเขา" นักเรียนรีบตอบทันที "บูกิต" ทำให้เราถึงบางอ้อ ว่าพวกเค้าใช้ภาษามลายูมากกว่าภาษาไทยนี่เอง  เราเลยถามว่านักเรียนรู้จักจังหวัด "ภูเก็ต" มั๊ย ส่วนใหญ่รู้จัก เราเลยเล่าให้ฟังเป็นเกร็ดความรู้ว่า มีตำนานเกี่ยวกับชื่อจังหวัดว่าเมื่อก่อนคนจีน คนมลายูนั่งเรือเข้ามาที่เกาะและเห็นภูเขาเยอะ เลยร้อง "บูกิต บูกิต" จนเพี้ยนมาเป็น "ภูเก็ต" เมื่อเวลาผ่านไป  (แอบรู้สึกภูมิใจที่พื้นความรู้ภาษามลายูของตัวเองยังมีเลยโยงเรื่องราวได้ อิๆ)





--------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ฺที่มา book review "อยากเป็นไกด์ไม่ไกลเกินก้าว"



"อาจารย์ขา... ขวัญเรือนโทรมาขอที่อยู่เพื่อจะส่งหนังสือมาค่ะ 

ในที่สุดก็ยังได้ หลังจากที่ลืมไปแล้ว 

ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะ ที่ชอบให้หนูลองทำสิ่งใหม่ๆๆ"



วัลลภา (อร)ส่งFacebook มาบอกเมื่อวาน เราตื่นเต้นไปกับเธอด้วย 

เพราะตอนที่เธอเริ่มเรียน English for Hospitality 2 กับเราเมื่อ 12/12/13 เราก็ให้หนังสือเสริมความรู้

เรื่องการท่องเที่ยวให้เธออ่านมากมายหลายเล่ม






หนึ่งในนั้นคือ " อยากเป็นไกด์ไม่ไกลเกินก้าว " และยุให้เขียน book review ถึงหนังสือ

เรื่องนี้ส่งไปยังนิตยสารขวัญเรือน ฮ่าๆ ตอนนั้น (ธค.)เราเห่อที่ book review ที่เราส่งไปหา

ขวัญเรือน เรื่อง " The Power of Half" ได้ลงฉบับวันพ่อ หลังจากอวดอรแล้วเราก็ชักแม่น้ำ

ทั้งห้าให้เธอเขียนบ้าง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในวิชานี้ด้วย 

ดีใจที่ทำให้เธอมี surprise เล็กๆในเดือนกพ. ซึ่งจะว่าไปก็รอไม่นาน นับแล้วแค่ 2 เดือน 

ในขณะที่เรารอนานกว่า ร่วม 4 เดือนแน่ะ !


หนังสือเล่มนี้เขียนจากประสบการณ์ของไกด์มืออาชีพที่ทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เหมาะกับคนที่อยากเป็นไกด์ เพื่อจะได้รู้ตัวเองว่าเมื่อเห็นปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งของ

การเป็นไกด์จะยังอยากเป็นไกด์อีกหรือไม่ เพราะการเป็นไกด์ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อก่อนตอนเรียน

ปริญญาตรี เมื่อมีคนถามว่าอยากเป็นอะไร เราก็เคยตอบว่าเป็นไกด์ แต่เมื่อเรียนจบ รู้จักและเห็นการ

ทำงานของไกด์มากขึ้น (จากการเป็นลูกทัวร์และการอ่านหนังสือ) เราก็เปลี่ยนใจ เนื่องจากมันเหนื่อย

มากจากการต้องคอยดูแลเอาใจแขกที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ลูกทัวร์ 40 คนก็ 40 ความต้องการ 

เราไม่ชอบเอาใจคนขนาดนั้น ( ฮ่าๆ เอ่อ จริงๆแล้วอยากถูกเอาใจมากกว่า เอ๊ย ม่ายช่าย) ก็เลยขอเป็น

ไกด์นำเที่ยวเพื่อนๆหรือแขกที่มาเที่ยวสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ด้วยใจที่อยากทำและอยากโชว์

จังหวัดตัวเองมากกว่า









ผู้เขียนมีผลงาน 2 เล่ม เล่มแรกเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ไกด์ในประเทศ ซึ่งสนุกมากจนเราต้องหาเล่ม

ที่ 2 มาอ่าน หากใครอยากรู้ชีวิตไกด์ ห้ามพลาด

-------------------------------

หมายเหตุ: เราร่ำๆว่าจะไปเรียนอบรมการเป็นไกด์มาหลายครั้ง ทั้งที่วค.สงขลา ซึ่งมักจะจัดช่วง

พค.ของทุกปี แต่พอมันเป็นการอบรมไกด์ชายฝั่งทะเล เราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เราแฮะ (คอร์สนี้ค่อนข้าง

แพง ร่วม 30000 B.)


ปีนี้มีอบรมไกด์ (ต่างประเทศ) ที่สุราษฎร์ ตั้งแต่ 18-28/3/14 ราคาแค่ 2500 B. 
แต่ด้วยระยะทางที่ห่าง

ไกลและเวลาที่กระชั้นชิด ตรงกับการส่งเกรด เลยไม่สามารถปลีกตัวได้ ต้องเก็บความคิดเรื่องการเรียน

ไกด์เอาไว้ก่อน


----------------------------------------------------------