วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Hi Bucharest not Budapest









Hi Bucharest not Budapest

มีโจ๊กเกี่ยวกับชื่อเมืองหลวง ฺBucharest ของโรมาเนีย เล่ากันว่าคนมักจะสับสนกับเมืองหลวงของฮังการี คือเมือง Budapest เมื่อครั้งที่ไมเคิล แจ๊คสัน มาแสดงคอนเสิร์ต เค้าทักทายคนมาดูคอนเสิร์ตว่า Hi Budapest ! ทำเอาผู้ชมอึ้งไป 10 วิฯ แถมมาดอนน่าก็ยังเอากับเขาด้วย Hi Budapest! อีกคน (ไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดเล๊ย ชาวเมืองแฟนคลับอาจจะหายไปเล็กน้อย) 

เรื่องโจ๊กอีกอันนึงคือ มีเครื่องบินจะบินไป Budapest แต่เมื่อผ่านเมือง Bucharest ก็หยุดจอด เพราะคิดว่าถึงเมือง Budapest ฮังการี แล้ว ( อืม...เรื่องนี้จริงไหมเนี่ย)

และแล้วพวกเราก็บินจากสนามบินตุรกี ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง มาสนามบิน Henri Coanda ประเทศโรมาเนียด้วยความปลอดภัย สนามบินค่อนข้างเล็ก ทำให้ไม่มีปัญหาการหลงทางในสนามบิน แถมที่ชั้น 1 ยังมีร้าน supermarket ให้ shop เพื่อหาของกินราคาย่อมเยาอีกด้วย ทำให้พวกเราเมื่อนึกถึงของกินและไม่มีที่ไปก็จะมาปักหลักเริ่มต้นที่นี่กันเลยทีเดียว

เรามาถึงโรมาเนียก่อนวันอบรม 1 วัน ทำให้มีเวลา city tour  
หลังเข้าโรงแรมที่พักคือ Rin Airport Hotel ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินมาก ที่น้องแพร์จองทางอินเตอร์เน็ตเอาไว้ มันห่างจากสนามบินแค่ประมาณ 7 นาที แถมสะดวกกับการเดินทางเพราะมีรถ shuttle bus คอยรับส่งทุกช.ม.ไป-กลับสนามบิน หากจะไปในเมืองก็แค่นั่งรถจากโรงแรมมาที่สนามบิน และต่อรถเมล์เข้าเมือง 

หมายเหตุ: ราคาที่พักที่นี่ต่อห้อง ประมาณ 1,900 บ. ซึ่งหากมีคู่พักด้วย ก็จะประหยัดไปได้หน่อยนึง แนะนำว่าหากใครคิดเที่ยวไกลๆ หาคู่หูสักคนไปด้วยเพื่อช่วยกันหารค่าเดินทาง taxi & ที่พัก เรามาถึงโรงแรมประมาณ 10 โมง แต่เวลาเข้าพักในห้องได้คือบ่ายสอง เมื่อไปสอบถามพนง.เค้าบอกว่าจะต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 500 บ. ณ นาทีนั้นอยากเข้าห้องพัก ไปอาบน้ำแล้ว เราก็เลยตกลง ซึ่งราคาที่เพิ่มมานี้จะจ่ายเมื่อ check-out อิๆ แต่ท้ายสุดตอน check-out เค้าก็ไม่ได้คิดเงินเพิ่มนะ โชคดีมาก 

คนขับแท๊กซี่ที่นี่เป็นมิตรมาก จะไม่มีการเซ้าซี้ลูกค้า เมื่อบอกว่าจะไปรถ shuttle bus ของโรงแรม ก็ไม่เซ้าซี้ให้นักท่องเที่ยวอึดอัด หรือแข่งกันเรียกลูกค้า แถมยังชี้ทางจุดขึ้นรถของโรงแรมให้อีกด้วย (ปรบมือรัวๆกับความเป็นมิตรและหน้าตาดีของคนขับแท๊กซี่ที่นี่ เอ๊ะ อย่างหลังเกี่ยวไหม อิๆ) 

วันแรกใน Romania เรากับน้องแพร์เริ่มด้วยการนั่งรถ taxi จากโรงแรมมาลงในเมือง โดยคนขับมาส่งให้ที่ the House of Free Express พวกเราหาจุดขึ้้นรถ hop on hop off โดยการถามวัยรุ่นแถวนั้น ซึ่งเธอไม่รู้ (อันนี้ก็ไม่ว่ากันเพราะความเป็นคนท้องถิ่นอาจจะทำให้ไม่ต้องใช้บริการรถประเภทนี้สินะ) พวกเราเลยหากันเอง และได้ขึ้นรถในที่สุด โดยซื้อตั๋วที่บนรถได้เลย ในราคา 25 lei 

การขึ้นรถก็ง่ายๆ (อิๆ อันนี้พูดได้เมื่อเข้าใจภายหลังว่าสัญลักษณ์ hop on hop off จะมีทั่วไป ขึ้นจุดไหนก็ได้ ไม่ต้องหาซื้อตั๋วจาก office ให้ยุ่งยาก แถมยังใช้ได้ 24 ชม.จริงๆ หากขึ้นรถวันนี้ 4 โมงเย็น ก็สามารถมาขึ้นต่อให้ครบวันได้  

 ( ไอ้เราก็โง่มานาน เคยขึ้นที่มาเลย์ + สิงคโปร์ ก็ขึ้นในวันที่ซื้อตั๋ว และวันรุ่งขึ้นไม่ได้ใช้ คิดว่ามันหมดอายุแล้ว) 

พวกเรานั่งรถสำรวจเมือง 1 รอบ และคิดกันว่าจิ้มจุดต่างๆไว้ เพื่อครั้งหน้าจะได้กำหนดจุดเที่ยวได้ 
อากาศช่วงกค.กลางวันร้อนมาก (รู้สึกได้ทันทีว่ามีปัญหากับการจัดเสื้อผ้าอีกแล้ว เสื้อผ้าแต่ละตัวเอามาหนาๆ เพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่าที่พักในเมือง Codlea ซึ่งเป็นเมืองในภูเขาจะค่อนข้างหนาว  ไอ้เราก็ไม่ทันคิดว่าในเมืองหลวง ซึ่งห่างจากเมือง Codlea แค่ 3 ชม.ครึ่งจะแตกต่างกันมากขนาดนี้

การแต่งตัวของคนเมืองหลวงเลยเป็นแบบ summer กางเกงขาสั้น เสื้อบางๆ หาคนใส่กางเกงขายาวได้น้อยมาก เสื้อผ้าตามห้างก็เป็นเสื้อผ้าแนว summer แถมถูกด้วยนะ ลด 50 % เห็นได้ทั่วไป อิๆ เราเลยได้เสื้อผ้ามาหลายตัว 

---------------
สถาปัตยกรรมของเมือง Bucharest และตึกรามบ้านช่องในตัวเมือง สวยและดูขลังมาก โรมาเนียเคยปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์มาก่อน ทำให้สภาพบ้านเมืองบางที่ เวลาที่ฟังไกด์ท้องถิ่นเล่า ก็จะมีเรื่องราวเท้าความไปได้ตั้งแต่สมัยปกครองแบบคอมมิวนิสต์ 


หลายสถานที่สำหรับชาวเมืองจะเป็นทั้งแบบ 
love-hate relationship คือทั้งรักและเกลียดสถานที่นั้น เช่น House of Parliament ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 1 ของเมือง แต่ในขณะเดียวกันเมื่อถูกสร้างมาในยุคคอมฯที่รัฐบอกให้ประชาชนประหยัด และเน้นความเท่าเทียม แต่รัฐกลับมาฟุ่มเฟือยซะเอง ด้วยการสร้างซะหรูหรา ไม่ว่าจะมีพรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ซึ่งไม่ได้ใช้วิธีผลิตเสร็จในครั้งเดียวแล้วเอามาปู แต่เอามาปูรวมกันเป็นชิ้นใหญ่ในห้องประชุมหรูหราของที่นั่น เพราะไม่สามารถขนย้ายในคราวเดียวได้ / การมีห้องจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่มากกก...  /โคมไฟ chandelier แบบหรูๆทุกห้อง / ผ้าม่านที่หนัก 25 กก. / ห้องที่เสียงปรบมือจะก้องกังวาน ราวกับว่ามีผู้อยู่ที่นั่นนับร้อยคน (อันนี้เพื่อ ....) 

หากไปเที่ยวภายในที่นี่ จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไป ถ้าจะนำเข้าไปก็จ่ายเงินเพิ่ม 

ทุกห้องล้วนหรูหราอลังการ เกินกว่าที่ประชาชนตาดำๆจะรับได้ (เอาเงินพวกช้านนน...ไปทำเยี่ยงนี้เหรอ)

เมื่อคิดแบบนี้ทำให้ชาวเมืองเกลียดที่นี่ แต่ขณะเดียวกันที่นี่ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในภายหลังที่นำรายได้เข้าประเทศ (เอิ่ม เลยจะชังก็ชังได้ไม่เต็มที่) 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น