วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Southern Book Fair 2013



หลังจากรอคอยที่จะไปงานสัปดาห์หนังสือภาคใต้ที่หาดใหญ่ ซึ่งเลื่อนจาก 27 กค. มาเป็น 27 สค. 56 เราก็ได้ไปจริงๆซักที

นัดแนะกับหนูนาเพื่อจะไปสำรวจ worshop ซึ่งโฆษณาว่ามีทั้งการอบรมการทำ e-book , อบรมนักเขียน และการสอนประวัติศาสตร์ แต่ผิดหวังมากๆที่ workshop เหล่านี้ถูกถอดออกไปหมดเลย (จะโฆษณาทำไมเนี่ย) มีแต่การเสวนากับนักเขียนแทน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะผิดหวัง แต่เมื่อได้เห็นหนังสือละลานตา เราก็ลืมเรื่องผิดหวังได้ในทันใด อิๆ
ด้านหน้าของศูนย์ประชุมฯ มีมุมหนังสือของมูลนิธิเด็ก ซึ่งหากซื้อ 200 บ. ก็จะได้แถมตุ๊กตา 1 ตัวฟรี
เรากับหนูนาเลยหารกันซื้อนิทานให้น้องๆโสสะเพื่อจะได้ให้ตุ๊กตากับน้องด้วย

นอกจากนี้พวกเราก็ซื้อหุ่นสัตว์มือ ตัวละ 59 บ. หากซื้อ 2 ตัวจะราคา 100 บ. เอาไว้เผื่อเวลาเล่านิทานจะได้ดูมีสีสันมากขึ้นด้วย แอบคิดถึงรายการ "เจ้าขุนทอง" ที่เราดูตอนเด็กๆ ที่มีการชักเชิดรูปสัตว์และเล่าเรื่องผ่านนกขุนทอง เจ้าขุนทองออกอากาศตอน 7 โมงเช้า ทำให้เพลงประจำรายการก็จะเริ่มด้วย

 " อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส
เพื่อนๆพบหน้า พี่น้องพร้อมหมู่ต่างก็มาดูรายการสุขสันต์
เจ้าขุนทองขับขานแล้วนั่นๆ เพื่อนผองมากัน ยินดีปรีดา 
บ้างร้องบ้างเล่น ทำเป็นส่งภาษา ขับขานเจรจา เริงรากับขุนทอง เจ้าขุนทอง หุยฮาๆ ..."

(เอ่อ...ไม่ได้ความจำดีขนาดจำเนื้อเพลงได้นะ เพิ่งจะทบทวนเนื้อเพลงจาก youtube :)











เงินเกลี้ยงกระเป๋า ไม่ว่าจะหลวมตัวสมัคร Reader's Digest ฉบับภาษาอังกฤษ
ที่หากสมัครรายปี ตกเล่มละ 80 บ. 
สมัครราย 2 ปี 75 บ.
สมัครราย 3 ปี 65 บ. (คนที่ตาโตกับตัวเลขที่ลดลงเรื่อยๆอย่างเราเลยลังเลใจไม่นาน และแล้วก็รูดบัตร Debit ไป 2300 บ. เพื่อการนี้และได้ซีดีเพลงบรรเลงและเครื่องคิดเลขมาเป็นของแถม
 (แฮ่ม ยังไม่พลาดของแถม) 





Reader's Digest (หรือสรรสาระในเวอร์ชั่นภาษาไทย) เป็นหนังสือนิตยสารเล่มโปรดของเรา มีเรื่องราวดีๆ ให้แรงบันดาลใจเยอะแยะอยู่ในนั้น เรื่องราวรอบโลกแบบนี้ทำให้สมองเราเปิดกว้างกับข่าวสารภายนอกประเทศได้ดีมากๆ ขอบอก

เมื่อต้นปีได้ข่าวว่าสนพ.จะปิดตัวเนื่องจากขาดทุนมาระยะใหญ่ ทำให้เรานึกเสียดาย แต่ก็ยังงงๆเมื่อก็เห็นห้องสมุดก็ยังมีมันอยู่นี่นา เห็นมันวางแผงเลยเหมือนเจอเพื่อนเก่า 
ข้อดีของการสมัครหลายปีนอกจากราคาถูกลง หากเราจะงดชั่วคราวแล้วค่อยรับใหม่ก็ได้ โดยต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย  1  เดือน 




บู๊ทหนังสือเยอะมาก พวกเราสนใจกะบะหนังสือลดราคาเป็นพิเศษ กว่าจะรู้ตัวก็แบกหนังสือหลังแอ่น และกระเป๋าเบาโดยถ้วนหน้า แฮ่...เราพยายามคิดว่าวันเสาร์นี้ก็จะมีรายได้พิเศษจากที่รับเป็นกรรมการตัดสิน Spelling Bee รอบภาคใต้ จะได้คิดว่าไม่ได้เบียดบังเงินตัวเองส่วนอื่น อิๆ








เมื่อหมดตังศ์ เอ๊ย หมดแรงแล้ว ก็ถึงเวลาหาของกิน หนูนาแนะนำร้าน Moroc เลยไปนั่งพักเหนื่อยและกินเส้นกันที่นั่น ตอนออกมาเจอป้าย "เติมรมณ์" พวกเรารีบรี่เข้าไปแอ๊คท่า ชอบชื่ออ่ะ เก๋กู๊ด
เติม (อา) รมณ์ (ดี)
ใครอารมณ์ไม่ได้มาเจอป้ายนี้น่าจะเปลี่ยนโหมดอารมณ์ได้โดยทันที ป้ายย้อนยุคแบบนี้ยังขายได้สำหรับผู้ชื่นชอบการโพสท์รูปลง Facebook ได้ยินเสียงเพลงจากร้าน แต่พวกเราไม่ได้สนใจ แฮ่ม เน้นถ่ายป้ายเป็นหลัก :)

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตามล่าหาเดลินิวส์ (Part I )

Day 1:  23 Aug.13

การตามล่าเพื่อซื้อหนังสือพิมพ์เป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เราเพิ่งอ่านคำคมมาหมาดๆ
Do something that scares you every day. (- Roosevelt ) ที่สอนให้คนเราลองทำอะไรที่ไม่เคยทำอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อทำให้ชีวิตท้าทายและไม่น่าเบื่อ ประมาณว่ามีอะไรให้ตื่นเต้นทุกวัน




เมื่อโป๊บ วงจำปูน ได้ลงหนังสือพิมพ์ ฉบับแรกคือ สยามรัฐ บ้านเมือง และลำดับถัดมาคือเดลินิวส์ในวันศุกร์ที่ 23 โป๊บโทรมาหาเราบอกว่าให้ช่วยดูหนังสือพิมพ์ให้หน่อย เพราะที่กทม.แม้จะเป็นวันศุกร์ แต่เนื่องจากมันเป็นตอนบ่ายเลยกลายเป็นกรอบวันเสาร์ไปซะแล้ว

(การออกนสพ.เมืองไทยทำให้เรางงเล็กน้อย-ปานกลาง มาจนโต ว่าเราเหมือนจะรู้อนาคตล่วงหน้า เพราะหากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ สักประมาณเที่ยงๆเราก็สามารถอ่านข่าวของวันจันทร์ได้แล้ว ยังกะนอสตราดามุส รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ฮ่าๆ)

เรื่องการตามล่าหานสพ.เดลินิวส์เลยต้องถึงมือเรา ผู้สามารถทำได้ทุกอย่าง (รึเปล่า?)

ขั้นแรก เราเลยไปถามน้องจนท.ห้องสมุดเพื่อดูว่าจะสามารถขอหนังสือพิมพ์เก่าได้มั๊ย
คำตอบคือให้สอบถามน้องตาล ซึ่งเป็นคนดูแลห้องวารสารและหนังสือล่วงเวลา

Day 2:  24 Aug.13

ตาลเพิ่งจะกลับบ้านไป เราเลยต้องโทรสอบถามตาลในวันรุ่งขึ้น เมื่อตาลบอกว่านสพ.จะแทงจำหน่ายหรือขาย ก็ต่อเมื่อ 1 ปีผ่านไป (โอ๊ะโยะโย๋...นานขนาดนั้นเลยเหรอ)

ตาลแนะนำให้โทรหาพี่จิ๋ม พี่จนท. อีกคนนึง (เราสนิททั้งสองคนเพราะไปใช้บริการห้องวารสารบ่อยๆ) พี่จิ๋มเลยให้เบอร์โทรของร้านส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งมาส่งให้ห้องสมุดเป็นประจำ

ขั้นที่สอง: โทรหาเจ้าของร้าน และขอช่วยให้หานสพ.ให้เราหน่อย โชคดีที่เค้าหาได้ เราเลยสั่ง 3 เล่ม โดยเด็กในร้านจะเอามาส่งที่ห้องสมุดให้พร้อมกับนสพ.ที่ห้องสมุดสั่งเป็นประจำทุกวัน

เย้...ภาระกิจสำเร็จ Mission Completed

เรารีบส่งข้อความทาง FB ให้โป๊บโดยพลัน ว่าจะได้หนังสือพิมพ์ที่ต้องการแล้ว

--------------------

Day 3: 25 Aug.13

 น้องตาลโทรมาบอกตอนบ่ายกว่าๆว่าเด็กส่งนสพ.ไม่ได้เอาเดลินิวส์ฉบับวันศุกร์ที่ 23 /08/56 มาส่ง

เอาล่ะสิ งานเข้าแล้ว เราเพิ่งได้รับข้อความจากโป๊บ ที่ดีใจมากว่าเราหาหนังสือพิมพ์ให้ได้แล้ว
โดยให้เราเก็บไว้ให้และจะเอาซีดีเพลงซิงเกิ้ลแรกมาแลก

17.00 น. เรานึกได้อีกวิธี คือขอช่วย "เย็น" ให้หาซื้อจากร้านหนังสือหน้ามหาลัยให้หน่อย

เย้++ในที่สุดเย็นก็โทรกลับมาว่าหาซื้อได้แล้วที่ร้านเลิศเบเกอรี่ ได้มา 2 เล่ม

Mission Completed จริงๆซักที :)

------------------------

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Thank you note: guest speakers for Internship Preparation Seminar 2013


I'd like to use this blog to express my deep gratitude to all guest speakers for the Internship Preparation Seminar on 21/08/13

----------------------



Many thanks all guest speakers: Ball Winai SalemMango Tanya SkPoPe House PajiKuri, Suwanun Kugimiya, Aj. Tanapat, or N'Pu & Mr. Weerasith who made the Internship Preparation Seminar fruitful & productive.

You guys have got positive feedback from the audience as I heard them laughed and got something to ponder after the program. 

Pope -- Thanks for bringing a guitar along & sing for us. Also, thanks for being a guest for my 2 classes last week.  2 students came talk to me after class that it was the best class ever.

I'm also glad to see you in the news. You'd be very proud of it, I'm sure.


 

Mango --You're a confident & humble woman that can be a great reporter in the future. Keep up doing a good job. Thanks for taking a journey from Phuket - SK, then hurried back to Phuket. To me, it'd be such an exhausting trip.

Bao -- Thanks for driving from Phatthalung - Songkhla directly just for this program. Even though our schedule was changed 2-3 times, you're able to make it. See you on your graduation day next month!

Yod -- You're such a cheerful talker who can entertain the audience very well. I'm looking forward to reading more of your stories. It's very hilarious. I love it! Keep writing.





Hopefully, the juniors & seniors have learned from this program and start thinking about the future job & how to reach their dreams.

วงเล่า: ประสบการณ์จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง (1)




หลังจากวุ่นวายกับการเตรียมการ "โครงการเตรียมความพร้อมก่อนฝึกงานนิสิต" ซึ่งกำหนดการแรกคือวันที่ 14/08/56  แต่เมื่อมหาลัยเลื่อนการสอบกลางภาคออกไปอีกหนึ่งอาทิตย์สืบเนื่องมาจากวันฮารีฟิตตรี วันขึ้นปีใหม่ของนิสิตมุสลิม เลยต้องเปลี่ยนกำหนดการเป็น 21/08/56

โครงการจัดแค่ 1 วัน แต่เบื้องหลังการทำงานเยอะมาก เมื่อเราเป็นแม่งานเลยต้องยิ่งใหญ่อลังการตามขนาดตัว (เหรอ?) 

เริ่มด้วยการมองหาวิทยากรที่มีความรู้เฉพาะด้าน ทั้งโรงแรม ทัวร์ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ผู้สื่อข่าวทีวีภาษาอังกฤษ สายการบิน

สายการบิน: บริษัทการบินไทย มหาชน

โชคดีมากที่คุณวีระสิฐ (Ground Service Specialist )ซึ่งรู้จักกับเราเมื่อปีที่แล้วตอนที่เค้าได้รับเชิญมาพูดเรื่องลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์หลังเรียนจบและมาหานิสิตไปทำงานบริษัท Wingspand ซึ่งเป็นบริษัทหาพนง.ภาคพื้นดินของการบินไทย

หลังจากรู้จักกันครั้งนั้น เมื่อสองเดือนก่อน คุณวีระสิฐโทรมาหาเราถามว่ามหาลัยสนใจร่วมทำความร่วมมือ MOU (Memorandum of Understanding) กับการบินไทยมั๊ย โอ๊ว...จะปฎิเสธได้ยังไง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง หลังจากนั้นเราเลยมาดำเนินการเรื่องเอกสารสัญญา MOU ซึ่งใช้เวลานานมาก 
คุณวีระสิฐบอกว่าส่วนใหญ่การบินไทยจะทำความร่วมมือกับมหาลัยในกทม. ถ้าต่างจังหวัดจะมีแค่ มหาลัยเชียงใหม่และมหาลัยทักษิณ 

การรู้จักคนไว้เยอะๆ หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆทำให้เรารู้จักคนเพิ่มมากขึ้น และวันใดวันหนึ่งอาจจะได้ร่วมงานกัน ทำให้นิสิตพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย 




ไกด์บริษัทอ่าวนางออร์คิด กระบี่ : บ่าว (วินัย)

บ่าวเป็นลูกศิษย์ที่เราเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เพิ่งจบเมื่อมีค.55  แต่มีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตหลายอย่างไม่ว่าจะ แต่งงานเป็นคนแรกของรุ่น ซื้อรถยนต์ สอบบัตรมัคคุเทศก์แถบทะเลอันดามัน

บ่าวเล่าประสบการณ์การเป็นไกด์ที่ต้องคอยดูแลลูกทัวร์เวลาออกทะเลได้ออกรสมาก น้องๆปีสามปีสี่ขำกันใหญ่ ทั้งเรื่องเทคนิคการจับหอยเม่น และเมื่อโดนเข็มของหอยเม่น ก็ต้องมีคาถาป้องกันตัว "เจ็บหนอ ปวดหนอ" (เอ่อ...มันจะช่วยอะไรได้มั๊ยเนี่ย) 

เราอยากจะไปอบรมไกด์สักครั้ง ตั้งท่าอยู่หลายครั้ง แต่ก็เป็นท่าดีทีเหลว 55 เดือนพฤษภาคมปีนีั้ที่ราชฎัฎจัดอบรมราคา 28000 B.  เราก็กะว่าจะลงทุนควักเงินส่วนตัวเรียน เพื่อตอบสนองความอยาก แฮ่ 
แต่ด้วยภาระกิจรัดตัวไม่ว่าจะเป็นการจัดค่ายไทย-ลาว หรือค่ายสิงคโปร์ ที่ต้องอาศัยการประสานงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราปลีกตัวไม่ได้เลย

จริงๆแล้วเราอบรมแบบก๊อกแก๊กๆมาเยอะแล้วเหมือนกัน เช่นการอบรมประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว และอบรมไกด์เชิงวัฒนธรรม แต่มันยังไม่ใช่การได้บัตรไกด์ (ไม่มันๆ มีบัตรไกด์ห้อยท้ายคุณสมบัติตัวเองดูเท่ห์มากๆ ) 

การได้ฟังบ่าวเลยเป็นอะไรเพลินๆที่เราอยากฟังและอยากเรียนรู้ แต่ไม่คิดจะหาบัตรไกด์ทางทะเลแน่นอน กลัวตาย!



Phuket News: มะม่วง 

มะม่วงก็เป็นศิษย์เอกอีกคนหนึ่งของเราที่หลังจากจบทำงานมาหลายอย่าง ท้ายสุดก็มาทำงานเป็นนักข่าวภาษาอังกฤษอยู่ที่นสพ. Phuket News (หนังสือพิมพ์นี้เก๋มากตรงที่ออกเป็นภาษารัสเซียด้วย !) เราว่าการเป็นนักข่าวที่ทำข่าวอาชญากรรมและข่าวสังคมที่เป็นผู้หญิงน่าจะสนุกดี ทีวีหรือนิยายหลายเรื่องก็มีนางเอกเป็นนักข่าว มะม่วงน่าจะเข้าใจอารมณ์นั้นได้ดี ไว้เราต้องหาโอกาสคุยกับม่วงมากๆจะได้เจาะประเด็นเอามาเป็นพล๊อตนิยาย ฮี่ๆ (เมื่อไหร่จะได้เขียนเนี่ย)

-------------------------------

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The best class ever ! (Part I)


หลังจากที่นัดโป๊บ (กิดาพงค์ วิบูลกิจ) ไว้เป็นเดือน ก็ได้ฤกษ์ดีที่โป๊บ อดีตนิสิตเอกอังกฤษ รหัส 46 ซึ่งผันตัวเองมาตามฝันการเป็นนักร้องวงจำปูน จะได้มาปรากฎตัวต่อหน้าชั้นเรียนของเราสักที

พฤ.15/08/56

โป๊บมาเคาะห้องตามเวลาที่เรานัดคือ 8.45 น. คาบนี้เป็นวิชา Oral Communication 1 ของนิสิตเอกอังกฤษปี 2 ศึกษาฯ นิสิตส่วนใหญ่ตั้งใจเรียนและโต้ตอบในคาบเรียนได้ดี (ทักษะการพูดของพวกเค้าดีเลยล่ะ)

คาบเรียนหลังมิดเทอมคราวนี้เป็นบทที่ 6 (Learning) เรามอบหมายงานให้นิสิตเอาอะไรก็ได้ที่เป็นความสามารถที่มีมาแล้วหรือเพิ่งฝึกหัดมาสอนเพื่อน

การเรียนการสอนวันนี้สนุกสนานกว่าที่คิดเมื่อทั้ง 5 กลุ่มออกมานำเสนอ
เริ่มด้วยกลุ่มแรกที่สอนการทำสลัดปลากระป๋อง (เราเป็นคนชอบกินแซนวิชทูน่ามาก เราว่าอันนี้ล่ะเหมาะกับการทำอะไรง่ายๆ อร่อยๆ ในวันที่ไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็น ปลากระป๋องสามารถช่วยได้ทุกสถานการณ์



กลุ่มที่ 2 ก็ยังสอนการทำอาหาร

คราวนี้เป็นแซนวิชทูน่ากับแซนวิชหมูหยอง เน้นใส่มายองเนสเยอะๆเข้าไว้ ก็ yummy, yummy แล้ว นิสิตเอามาให้เราชิมทั้ง 2 แบบ เราเป็นคนไม่กินมะเขือเทศ แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะลองกินโดยมีมันน่ะนะ (ถ้าจำเป็น) มันก็กินได้นะ   อิ่มท้องแบบราคาประหยัด และประหยัดเวลาในการทำด้วย



กลุ่มที่ 3 กับ 4 มาคล้ายๆกันคือสอนการเล่นอูคูเลเล่ ซึ่งเคยฮิตมากๆอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อดาราเอามาเล่นกัน ตอนนี้มันเริ่มซาๆไปและราคาอูคูเลเล่ถูกลงมามาก น้องจ๋าซึ่งขายอยู่ที่ Platinum บอกว่าราคาแค่ประมาณ 600 บ.



กลุ่ม 4 สอนการเป่าขลุ่ยเพียงออ ทำให้เพื่อนๆและเรานึกถึงสมัยเรียนตอน ม.1 ที่ทุกคนจะต้องเรียนในวิชาดนตรีไทย พูดแล้วก็อาย เพราะเรายังเป่ามันเป็นเพลงจนจบเพลงไม่ได้เลย (อืม...หรือถึงเวลาหัดมันใหม่เพื่อจะได้บอกตัวเองว่าอะไรที่เคยทำไม่สำเร็จตอน ม.1 เรากำลังจะทำสำเร็จแล้วเมื่อเวลาผ่านไปร่วม 20 กว่าปี ฮี่ๆ)


กลุ่มที่ 5 สอนการเต้นลีลาศ

หลายๆคนน่าจะได้เรียนตอนมัธยม 6 สมัยเราเรียนรร.วฉ.เราไม่ได้เรียน กลับเรียนวิชากิจกรรมเข้าจังหวะ ซึ่งเราจำอะไรแทบไม่ได้เลย เรามาเรียนลีลาศอีกทีตอนปี 4 ด้วยความคิดว่าจบไปจะได้ใช้เวลาเข้าสังคม ?

 ที่ไหนได้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสใช้เลย และตอนนี้ความรู้นั้นมันก็ขึ้นสนิมเรียบร้อยแล้ว
กลุ่มนี้บอกให้เพื่อนๆลุกขึ้นมาหัดเต้นด้วยกัน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน้าม้า เอ๊ย เพื่อนๆในห้อง



(continued)

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Mirror, Mirror

เวลาส่องกระจก บางครั้งเราก็จะนึกถึงอาขยานนิทาน Snow White ที่แม่มดถามกระจกว่า

Mirror, mirror on the wall, who is the fairest of them all? กระจกวเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี

"อ๋อ สโนไวท์น่ะสิ ทั่วพื้นปฐพีไม่มีใครงามเกิน"



ในนิทานเรื่องนี้สโนไวท์น่าสงสารเนื่องจากถูกแม่เลี้ยงใจร้ายที่อิจฉาความงามของเธอรังแกอยู่เป็นประจำ โดยที่เธอไม่ได้ตอบโต้อะไร และท้ายสุดก็โดนแอปเปิ้ลอาบยาพิษของแม่เลี้ยงจนตัวตาย ต้องรอเจ้าชายมาจุมพิต

นั่นคือเรื่องราวที่เรารับรู้ตอนเด็กๆ โลกเพ้อฝันก็คงประมาณนี้ แต่เมื่อกาลเวลาและยุคสมัยผ่านไปจนมาถึงพศ. 2555 ก็มีการหยิบยกเรื่องนี้มาทำใหม่ ให้สโนไวท์เก่งกล้า กล้าหาญที่จะต่อกรกับแม่เลี้ยง



The Snow White legend comes alive




ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อถึงคราวเรื่องนี้นำมาสร้างเป็นหนัง ก็ออกฉายพร้อมกันในปีเดียวกัน ตอนอยู่ที่อเมริกา พอเห็น 2 เรื่องนี้ คือ Snow White and the Huntman และ Mirror, Mirror เราลังเลว่าเราจะดูเรื่องไหนดี

ฮ่าๆ แต่ตามประสาคนคิดช้า เราก็ยังไม่ได้ดูในปีที่มันออกฉายอยู่ดี กลับมาเมืองไทยซะก่อน
เมื่อต้องเดินทางไกลจากหนองคาย - สงขลา เมื่อเมย.56 เราเลยซื้อดีวีดีเรื่อง Mirror, Mirror มาดู

หากต้องเลือกที่จะดูแม่เลี้ยงใจร้าย เราว่า Julia Robert น่าจะให้ภาพพจน์แม่เลี้ยงที่ใจร้ายและขำดี ในขณะที่เรื่อง Snow White & the Huntman ดูเหมือนหนังขาว-ดำ มัวๆ ให้ภาพความหดหู่ยังไงก็ไม่รู้

จากปกดีวีดีของเรื่อง Mirror, Mirror เป็นภาพสีแดงฉูดฉาด ที่ยังให้ความรู้สึกสดใสอยู่บ้าง และสีแดงในความรู้สึกเราน่าจะแทนแอปเปิ้ล (สัญลักษณ์แห่งความตายของนางเอก) และการสูญเสียเลือดเนื้อ / การต่อสู้จากเรื่อง




ดูเรื่องนี้ไม่ผิดหวังเลย เรื่องราวน่ารักมากเพราะมีทีมคนแคระช่วยเสริมความเก่งของนางเอก และมี Julia Robert ที่เป็นแม่เลี้ยงใจร้ายได้น่าตีมากๆ

การได้ย้อนดูเทพนิยายที่กลายมาเป็นหนังทำให้เราเหมือนจะย้อนไปวัยเด็ก แต่เมื่อโตขึ้นการตีความเรื่องก็จะแตกต่างกันไปตามวัยด้วยน่ะนะ

สงสัยจังว่าหากเด็กๆซึ่งมีภาพนิทานชวนฝันมาดูหนัง Snow White พวกเค้าจะรู้สึกยังไง เราว่าหลายคนคงติดภาพแม่เลี้ยงมักใจร้าย เหมือนละครไทยทั่วไป ซึ่งอาจจะติดมาคิดต่อในชีวิตจริง

แล้วถ้าพวกเค้ารู้ว่าแม่เลี้ยงใจร้ายกับลูกเลี้ยง จริงๆแล้วตามท้องเรื่องเดิมได้ปรับให้เหมาะกับเด็กๆมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากเรื่องราวของแม่กับลูกแท้ๆ!!

วัยที่เปลี่ยนไปทำให้การรับรู้เทพนิยายที่(ไม่)ชวนฝันก็ทำร้ายจิตใจ(บอบบาง)ของเรานะเนี่ย

------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปั้นแต่งดินน้ำมัน VS ปั้นเด็ก






พวกเราอันประกอบด้วย บิ๋ม แนน บอย (นิติศาสตร์) และฟ้าใส (นิสิตปริญญาโทเอกไทย ชาวจีน กับสายลม (อาจารย์จีนคณะมนุษย์ฯ) มาเล่นกับน้องๆที่โสสะอีกรอบ

อาทิตย์ที่แล้วเรา ซี และฟ้าใส ก็มากันแล้ว ครั้งนั้นซีอยากมาเนื่องจากใกล้วันเกิดเลยอยากทำอะไรดีๆให้ตัวเองเลยชักชวนคุณฟ้าใส เพื่อนเมทรุ่นพี่ชาวจีนมาด้วย




ฟ้าใสพูดได้ดีมากว่าชวนมาแบบนี้ดีกว่าชวนตักบาตร (เราคิดว่าเค้าคงหมายถึงความอิ่มใจมันต่างกัน)
อาทิตย์นี้เมื่อบิ๋มกับแนนอยากมาเนื่องจากรายวิชาอังกฤษ 3 มีบทอ่านเรื่อง Volunteer Vacation ที่เราสอนมีงานกลุ่มให้ไปทำงานอาสาสมัคร 1 อย่างแล้วมารายงานเพื่อนในชั้น เพื่อความเข้าใจบทเรียนและความรู้สึกของการทำงานอาสาที่ดีขึ้น ส่วนบอยเห็นเราแปะรูปลง FB ทำกิจกรรมอาสาฯบ่อยๆเค้าเลยสนใจ เราเลยชวนมาหาน้องๆด้วยกัน

ฟ้าใส ว่างอาทิตย์นี้เลยชักชวนเพื่อนชาวจีนมาด้วยกัน ชื่อ สายลม (ชื่อเค้าสองคนมาในแนวรักธรรมชาติมากๆ อ.สายลมบอกว่าคณบดีคณะมส.ตั้งให้เพราะชื่อความหมายภาษาจีนของเค้าคือเมฆสวย (beautiful clouds)




เราไปเอาอุปกรณ์จากน้องแจ๋วและดินน้ำมันจากพี่นิด แล้วก็มาทำที่คั่นหนังสือกับน้องๆที่ลานกิจกรรม น้องๆวาดได้สวย โดยเฉพาะมิ้นกับเบลล์ที่รู้จักใช้สีสันมาเพิ่มเติมให้สวยงาม คราวนี้น้องๆที่มาเล่นกับพวกเรายังเล็กๆเกิน เลยทำไม่ค่อยสวยและเบื่อง่าย การปั้นเลยตกหนักอยู่ที่บอย แนน และบิ๋ม 

การปั้นดินน้ำมันก็เหมือนการปั้นเด็ก 1 คน ที่กว่าสิ่งที่เราปั้นจะสวยงามได้มันก็ต้องใช้เวลาและความอดทน น้องๆบางคนจากไม่ค่อยพูด เช่นน้องบีม (เสื้อชมพู) ซึ่งเราถามอะไรก็ยังไม่ค่อยตอบ แต่พอถามว่าเขียนตามคำบอกมั๊ยคะ (เพื่อนๆบอกว่าน้องได้ที่ 1 สมัยเรียนอนุบาล) น้องก็พยักหน้าและเขียนตามคำบอก เขียนเกือบถูกหมดด้วย เมื่อเรียกมาถ่ายรูป น้องส่ายหน้า (ยังไม่พููด) แต่เมื่อจูงมือน้องมาเข้ากล้องด้วยกัน น้องก็มาแต่โดยดี 




นี่หมายถึงว่าหากมีเวลาและได้รับความใส่ใจจากผู้ใหญ่ เด็กๆก็พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กฎข้อนึงก็คือต้องทำให้น้องไม่กลัวคน และคุ้นหน้ากับพี่ๆก่อน หลังจากนั้นน้องก็จะสนุกที่จะเล่นกับพวกเรา


  


 เฮ้ย!  ระหว่างมัวแต่สร้างภาพ เอ๊ยถ่ายภาพ น้องแอบดูดชาเย็นเรา! 



อ้อ...เมื่อวานเป็นวันที่ทางหมู่บ้านจัดงานเกษียณอายุให้แม่ๆ มีคุณปี๊บ (ผอ.เรื่องแรงเงา) ทูตสันถวไมตรีประจำมูลนิธิโสสะมาร่วมงานด้วย โอ้ว...อดกระทบไหล่ดาราเลยอ่ะ จากภาพน้องๆแต่งตัวน่ารัก สีสันเสื้อผ้าสดใสเพื่อเจอกับผู้หลักผู้ใหญ่ใจดีที่อุตส่าห์มากันจากกทม. เหล่าไฮโซก็มากันหลายคน

-------------------

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พี่(ฮา)มาก...พระโขนง





ปีนี้เป็นปีของหนังพี่มาก...พระโขนง ใครไม่ได้ดูมีโอกาสหลุดยุคได้ ตอนแรกเมื่อเราเห็นข่าวของหนังเรื่องนี้ว่าทะยานสู่ 1000 ล้านบาท เรานึกในใจอะไรมันจะขนาดนั้นเลย สนุกจริงเหรอ 

จนหนังออกจากโรง เราก็ยังไม่ได้ดูด้วยไม่ชอบการไปดูหนังตามโรงภาพยนตร์และงานยุ่ง (อิๆ คิดอะไรไม่ออกใช้ข้ออ้างนี้ได้ตลอด) จนเมื่อลิฟท์ให้ยืมซีดีเรื่องนี้มาดู เราเลยใช้เวลาวันเสาร์นี้ดูซะหน่อย (แน่ะทำเป็นดูแบบเสียไม่ได้ :) อิๆ จริงๆแอบคิดว่ามันคงสนุก แต่ก็คงไม่ได้สนุกมากมายนักหรอก (มั๊ง)

ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกอาจจะมีช่วงอืดของหนังบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีการหยอดมุขโดยเพื่อนทั้ง 4 ของพระเอก Mark ตลอด ก็ทำให้หนังน่าดูและชวนติดตามขึ้น ทั้งที่เรื่องนี้ถูกนำมาสร้างกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว จำได้ว่าตอนที่ทราย เจริญปุระ แสดงเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนน่ะ น่ากลัวมากๆ 



คราวนี้ พี่มาก ฮามากๆ และยังมีฉากซึ้งของทั้งแม่นาคและพ่อมากที่พ่อมากรู้ว่าแม่นาคตายแล้วแต่ก็ยังยอมที่จะอยู่กับแม่นาคด้วยความรักที่ทั้งสองมีต่อกัน เรื่องราวของพี่มาก กลับไปกลับมาน่าติดตามดีเมื่อเพื่อนทั้งสี่พยายามหาว่าใครเป็นผีกันแน่ ทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแม่นาคแน่ๆ แต่ก็อดคิดตามไปด้วยไม่ได้ ว่า เอ๊ะ หรือแม่นาคจะยังไม่ตาย!


ต้องชมผู้กำกับที่ทำให้ตัวละครแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อมาก แม่นาค เพื่อนๆทั้งสี่ มีบทบาทพอๆกันในเรื่อง และเป็นตัวเด่นที่ทำให้เรื่องมีสีสันพอๆกัน มีอิทธิพลต่อความฮาของเรื่องเท่าๆกัน





มาริโอ้ ยังดังมากๆในประเทศจีน ตอนที่อยู่อเมริกา จำได้ว่าตอนไปทัศนศึกษาร่วมกับเด็กจีน พอเค้ารู้ว่าเรามาจากเมืองไทย เค้าตรงเข้ามาคุยกับเราเลยและบอกว่าชอบมาริโอ้มากๆจากเรื่อง "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก" ไม่ใช่แค่คนเดียวที่มาบอกเราแบบนี้ เด็กจีนหลายคนเมื่อพูดถึงหนังไทยเค้าจะนึกถึงมาริโอ้ (ดังจริงฮอตจริงนะตัวเอง เลยทำให้เมืองไทยเป็นที่รู้จักด้วยอิทธิพลของมาริโอ้ :)





เราเคยดู "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก" และชอบเรื่องนี้เหมือนกันเพราะเนื้อเรื่องแม้จะเกี่ยวกับวัยมัธยมแต่ก็ต่อเนื่องมาจนทั้งพระเอกนางเอกจบการศึกษา มาริโอ้แจ้งเกิดมากๆจากเรื่องนี้

(ทีแรกเรารั้งรอที่จะดูเืรื่องนี้เพราะคิดว่าเป็นหนังวัยรุ่น และไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมวัยผู้ใหญ่บางคนก็ชอบเรื่องนี้ พอดูเองถึงเข้าใจว่ามันเป็นหนังที่ช่วยให้ผู้ใหญ่ระลึกถึงความหลังสมัยมีความรักตอนมัธยม การแอบรักรุ่นพี่เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กทุกคน)