วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2563
Young entrepreneur: เมื่อลูกศิษย์ให้ความรู้
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2563
Cafe review: The Seek Cafe, Songkhla Old Town
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2563
Book กองดอง
English Camp IRO experience: Wildan
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2563
Eng.Camp 2020 Reflection: Rinlada
Eng. Camp 2020 Reflection: Snook
Eng.Camp 2020 reflection: Angkana
27-28 Nov.2020
อย่างแรกเลยหนูขอบคุณอาจารย์ที่
หลังจากวันนั้นหนูก็ได้เก็บค่
นอกจากนี้ยังได้เสริมทั
ไม่เพียงเเต่กิจกรรมข้างต้นเท่
และพวกเราก็ได้หยุดรถไปเดินที่
จากที่หนูได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้
ในการทำกิจกรรมทุกคนมีความสามั
Eng. Camp 2020 reflection: Arina
เนื่องจากค่ายนี้เป็นค่ายที่จั
ในวันแรกของการทำกิจกรรมก็ได้
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
พิชิต "เขา": Keep walking
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
ไอติมสงขลาน่าลอง
-ร้านไอศกรีมสงขลามีหลายร้านให้เลือก เก่าสุดและเป็นตำนานคือ "ไอศกรีมไข่แข็งไอยิว" ถนนนางงาม (จนป่านนี้เราก็ยังจำชื่อร้านที่เป็นภาษาจีนไม่ได้ จำๆลืมๆ ฮ่าๆ) ร้านนี้ขายกันมา 3 รุ่น ร่วม 90 ปี ประโยคที่เป็นที่เลื่องลือของคุณยายคนขาย คือประโยคเรท R "ไข่แข็งมั๊ย?" นอกจากไข่แดงที่ตอกใส่ไอติมแล้ว ที่ร้านก็มีไข่ขาวนึ่ง ถุง 10 B. ขายกินคู่กับไอติมด้วย มันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้นใครไปร้านนี้ นอกจาก "ไข่แดง" แล้ว ก็ต้องลองสั่ง "ไข่ขาว" มาลองด้วยนะ (ถ้วยเล็ก 20 / ถ้วยใหญ่ 25 B.)
- ร้านไอติมกะทิไพจิตร หน้าวัดแจ้ง ร้านนี้ขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ คนที่กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้วมักตามด้วยการสั่งไอติมต่อ ไอติมกะทิรสดี (โดยไม่ต้องเติม"รสดี":) แนะนำให้ไปลอง
- Singora Ice Cream ถนนนครนอก ร้านนี้ขายไอติม homemade ราคาแพงสุด ในบรรดา 2 ร้านข้างต้น ถ้วยนึง 69 B. แต่บรรยากาศดีสุดในการกินไอติมแบบฟินๆ และได้รูปสวยๆประดับ FB :) ร้านนี้เจ้าของผู้หญิงซึ่งเป็นคนทำไอติม ดูเป็นมิตร และคุยกับลูกค้าอย่างทั่วถึง มีการส่งลูกค้าที่หน้าร้านด้วย (หากคนไม่เยอะ) ขอแนะนำไอติมใส่ข้าวเหนียวดำ (น่าแปลกที่ร้านไอติมอื่นๆไม่เคยใส่สิ่งนี้ ในย่านนี้จะใส่ถั่วเขียว ข้าวเหนียว ลูกเดือย ลูกชิด (ภาษาใต้เรียกลูกจากนะ)
จะร้านไหนก็อร่อยหมดแหละเนอะ ถ้ากินไป คุยไป และหัวเราะไป Ho Ho Ha Ha Ha :)))
My piggy bank collection
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เราเริ่มซื้อกระปุกออมสิน เวลาเห็นรูปหมูอ้วนๆ หรือกระปุกออมสินอ้วนๆ มันเหมือนเป็นสิ่งดึงดูดเราให้เข้าหา เราว่ามันหน้าตาน่ารัก เพื่อให้เด็กๆอยากสะสมแน่ๆเลย
กระปุกออมสินข้างต้น มีราคาแค่ 10 บาท!
10 บาท! (ตะโกนทำไม)
มันถูกมากๆ และรูปลักษณ์ดูเป็นหมูเมืองนอก แถมเขียนยั่วๆ ว่า Billionaire Savings กระปุกสำหรับเศรษฐีพันล้าน ! เราเจอมันที่ตลาดนัดวันอาทิตย์หน้ารร.วรนารีเฉลิม
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
๋Jack Ma: As we know
Jack Ma บุคคลสำคัญระดับโลกที่เขย่าวงการขายออนไลน์ alibaba ทำให้สังคมจีนเป็นสังคม cashless
และนำแนวคิดด้านธุรกิจใหม่ๆมาให้โลกรู้จัก
เราได้เริ่มอ่านหนังสือของเขา (ฉบับภาษาอังกฤษ) จากตอนเรียนอบรมผู้บริหารของมหาวิทยาลัยรุ่นแรก
การต้องอ่านเพื่อเอามา discussion ในการอบรม ทำให้ได้อ่านแบบลึกๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคิดได้อย่างน่าทึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อดูคลิปที่เขาพูดถึงการถูกปฏิเสธ (rejected) ไม่ว่าจะเป็นการสมัครเข้าทำงานที่ KFC การสมัครตำรวจ หรือการสมัครเข้าเรียนที่ Harvard จำนวนการถูกปฏิเสธของเขาไม่ใช่แค่ 1 ครั้ง แต่เป็น 10 ๆ ครั้ง! ตอนเล่าเรื่องสมัครเข้า Harvard พิธีกรบอกว่าตอนนี้ Harvard คงแทบต้องขอให้เค้าไปเป็นอาจารย์สอน 55
เขาเล่าอย่างหน้าตายิ้มแย้ม และติดตลก ทำให้รู้ว่าชีวิตของเขาไม่หยุดอยู่แค่การล้มลงเมื่อถูกปฏิเสธ แต่เขากลับพยายาม และผงาดขึ้นมาได้ จนเรียกว่าทั่วโลกรู้จักไปทั่ว สุดยอดมากๆ
หนังสือของ Jack Ma ยังออกมาอีกหลายเล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยหลายเล่มมาก เล่มนี้เราเห็นที่ร้าน Singora Ice Cream (เราว่าร้านกาแฟ หรือร้านต่างๆ จะมีบรรยากาศชิลล์มากขึ้น หากตั้งหนังสือที่เจ้าของร้านซื้อมาอ่านเอาไว้ หรือหนังสือที่คิดว่าลูกค้าน่าจะสนใจหยิบมาอ่าน มันช่วยฆ่าเวลาระหว่างรออาหาร เครื่องดื่มได้ดีนะ) ลูกค้าเดี๋ยวนี้อาจจะไถโทรศัพท์ไปมา แต่เราว่าก็จะยังมีลูกค้าที่อยากพลิกหนังสือไปมา ด้วยเหมือนกัน
Sun. 15 Nov. 2020 @ Singora Ice Cream with โอ๋ (ไอติมค่อนข้างแพง ถ้วยละ 69 บ. หากใช้ DTAC และซื้อครบ 150 บ. ได้ลด 10%)
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
Online Meeting & new good intl friends
ค่ำนี้ได้เปิดฟัง Coming of Age Podcast ซึ่งมีทั้งหมด 23 ตอนแล้ว เราไล่ๆดูว่าอยากฟังของใครก่อน ดูจนหมด list คิดว่าเริ่มจาก"นิ้วกลม" น่าจะดี
เราได้ยินคำว่า coming of age เมื่อปริญญาตรี ตอนเรียนวิชาการอ่าน / วรรณคดี ให้แปลเป็นไทย เรานึกถึงคำสวยๆไม่ออก สำหรับเรามันหมายความประมาณว่า "การพ้นจากความไม่รู้ของช่วงหนึ่ง เข้าสู่การเรียนรู้ชีวิต" เช่นสมมติว่า บางคนพ่อแม่เสียชีวิต ก็จะ coming of age ตื่นจากการเป็นลูกที่เอาแต่ใจ ได้ทุกอย่าง มาคิดได้ว่าต้องช่วยเหลือตนเอง
หรือจากการอกหักจากความรัก ก็จะ coming of age ว่าต้องดูแลตนเอง เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล ประมาณนี้
ชื่อ podcast ทำให้เราสนใจ นอกเหนือจากที่เคยฟัง "คำนี้ดี" (ฮิตในในเรา) " R U OK" ซึ่งฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ช่วงเวลาฟัง podcast ของเราคือช่วงซักผ้าด้วยมือ เราว่ามันเพลินดี มือขยี้ หูฟัง (ผ้าสะอาดไหม อันนี้อย่าถาม ไม่เน้นเรื่องนี้ อิๆ เน้นสาระว่างานเสร็จ 2 อย่าง ทั้งได้ผ้าสะอาดๆ และหูรับความรู้:)
ต่อ-- พูดถึง podcast นิ้วกลม เรื่องนี้ เขาพูดได้น่าสนใจว่าเขามีความสุขกับการทำงาน เพราะงานทำให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง และทำให้ตนเองสดใส อยากรู้อยากเห็น
คิดเหมือนกันเลย!
ปุจฉา: หากถามว่าทำไมเราชอบไปทำงานเสาร์ อาทิตย์ หรือไม่เบื่อกับการทำงาน
วิสัจนา: เราสนุกกับการทำให้งานเดินหน้า และ event ที่ตั้งใจจะทำเสร็จสิ้นไปด้วยดี มันเป็นความภูมิใจในแต่ละครั้ง และเมื่อโตขึ้นเรื่อยๆ ทำงานไปเรื่อยๆ เมื่อมีงานใหม่ๆเข้ามา ความรู้สึกท้าทายจะเกิดขึ้นใหม่ทุกครั้ง เราคิดว่าเราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ และได้เพื่อนใหม่ๆจากการทำงานขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่าง...
E-Cultural Exchange Program ที่เราคิดทำร่วมกับ UNIMAS, Atma Jaya U., Soutsaka College ซึ่งเป็นกิจกรรมจัดให้นิสิตทั้ง 4 ประเทศได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมผ่าน Google Meet ก่อนจะจัดจริงวันที่ 22/12/63 เรานัดประชุม 2 ครั้งแล้ว ทุกคนที่ร่วมประชุมใจดี และบรรยากาศเป็นไปด้วยความเป็นมิตร รับฟังซึ่งกันและกัน ทุกคนมุ่งให้เกิดงานที่ดีเพื่อนิสิตและเพื่อกิจกรรมต่างประเทศที่จะเกิดร่วมกัน
ทั้ง Malia, N'Bouala, Luisiana (dean), Andre & Raxel ( IRO officers) ทำให้การร่วมงาน การเตรียมการข้ามประเทศเป็นไปอย่างดี
ตอนนี้เราชินๆกับการประชุมออนไลน์ และ run การประชุมเอง (จนถึงวันนี้ เรา run มา 3 ครั้งแล้ว กับ
- กิจกรรม TEEN TALK ( 12 Nov.2020 เพื่อเตรียม series 6: Women Equality)
- กิจกรรม E-Cultural Exchange Program ( Sep. & 16 Nov.2020)
เวลาเราดำเนินการประชุมเอง ภูมิใจมาก ที่เสร็จเร็วภายใน 1 hr. และวันนี้แค่ 30 mins เราว่าเมื่อสาระงานเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปทำงานอื่นต่อ ทำงานกับต่างชาติดีตรงนี้ เราพบว่ามันไม่ยืดยาด
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
Hackathon VS Marathon
Hackathon VS Marathon?
เห็นคำว่า hackathon แบบผ่าน ๆ มาพักใหญ่ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก คิดแค่ว่า อู้หู ใครจะทำอะไรได้นานขนาดนั้นเนี่ย ที่เคยได้ยินมา มีการเต้นไม่หยุด ที่ Penn State U. เพื่อเอาเงินไปทำการกุศล หรือการดูหนังยาวๆไป ใครหลับก่อนแพ้
ได้ยินอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน จากเอกสารที่ส่งมางานวิเทศสัมพันธ์ ว่ากระทรวงศึกษาของอินเดีย จัดงาน Hackathon เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ใน ASEAN + อินเดีย ได้มาร่วมมือกันหาแนวทางแก้ปัญหาในอาเซียนอย่างสร้างสรรค์ โดยรับสมัครนิสิตแต่ละประเทศ จำนวน 30 คน + ที่ปรึกษา 10 คน
เราใจเต้นแรง ความรู้สึกนี้มักจะมาทันทีที่เราเห็นการแข่งขันหรือการทำงานที่เราสนใจ และเอาตัวเองไปร่วมได้ ได้เวลาทำสิ่งท้าทายรับปีหน้า 2564 แล้ว !
ชีวิตต้องมีอะไรท้าทายใช่ไหม ตอบเลยว่า "ใช่" 55
ปี 2563 สิ่งท้าทายของเราคือการทำหน้าที่ใหม่ "หัวหน้างานวิเทศสัมพันธ์ ( International Relations Office, TSU) ซึ่งต้องคิดงานใหม่ และประสานงานกับต่างชาติ ประชุมออนไลน์กับมาเลเซีย อินโดนีเซีย อยู่แทบทุกเดือน ตั้งแต่มาทำตำแหน่งนี้เมื่อ 10/8/63
และเพราะตำแหน่งนี้ ทำให้เราเห็นประกาศเกี่ยวกับต่างประเทศที่ส่งมาที่มหาลัยก่อนใคร
เราหานิสิตเข้าร่วมและได้ฟาติน + ฟานี (นิสิตเอกอังกฤษ ปี 4) ที่ตอบรับในทันที
เมื่อโทรกลับไปสอบถาม ศป.อว ว่าคัดเลือก mentor ยังไง จนท.บอกว่าต้องดูว่ามีคนสมัครกี่คน หากมีหลายคนคงจะสัมภาษณ์ (เหมือนกับน้องเขาไม่แน่ใจว่าจะมีคนสมัครไหม แต่เราว่ามัน challenge มากเลยนะ และก็อินเตอร์มากๆด้วย การเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศกดดันแบบนั้น 36 ชม. ( 12 hrs. X 3 days = 36 hrs.) ช่างท้าทาย
ไม่ว่าจะได้รับคัดเลือกหรือไม่ อย่างน้อยเราก็เอาตัวเราใส่ตะกร้า(ล้างน้ำ) เอ๊ย ม่ายช่าย เข้าไปข้องเกี่ยวกับมันแล้ว 55
มี theme 8 เรื่องด้วยกัน แต่ที่เราสนใจคือ education + tourism เราว่าเรามีความรู้พอที่จะให้คำปรึกษาทีมนิสิตได้ ซึ่งนิสิตก็ยังต้องแยกประเทศกันทำงาน 1 ทีมจะมี 3-4 ประเทศอยู่ด้วยกัน ทำงาน คิดงานร่วมกัน และมี 2 mentors
งานนี้ทำให้เรานึกถึงการเป็นผู้ประสานงานกองถ่ายหนังต่างประเทศ ที่เราต้องสมัครก่อนและผ่านการสัมภาษณ์ถึงจะได้ทำ จนตอนนี้เราก็ยังโม้อยู่ว่า "ครั้งหนึ่งเคยทำงานกองถ่ายหนังต่างประเทศและเคยเดินบนพรมแดง" อิๆ
----------
Hackathon / Marathon มีความเหมือนกันตรงการใช้เวลานานกับการทำกิจกรรม/การแข่งขัน
Marathon = 42 km.
Hackathon ครั้งนี้คือ 3 วัน ( 36 hrs.)
วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563
เบื้องหลังงานผีๆ : Halloween Party 2020
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563
When friendship begins: ห้องอาหารนกนางนวล
ห้องอาหารนกนางนวล: When friendship begins (1)
ความสัมพันธ์ของคนเราเริ่มได้หลายที่ อาจเป็นโรงเรียนเก่า ที่ทำงาน หรือในชุมชน หรือต่างแดน
เรื่อง"ห้องอาหารนกนางนวล" มิตรภาพเริ่มต้นจากการเป็นคนชาติเดียวกัน มาอยู่ในที่ต่างถิ่นฟินแลนด์ ดินแดนขึ้นชื่อเรื่องการศึกษาที่ดีเยี่ยม ผู้หญิง 3 คน บินมาไกลจากญี่ปุ่น เพื่อเริ่มต้นใหม่ สร้างความมั่นใจ(ใหม่)ให้ตนเองว่าจะสามารถอยู่ด้วยตนเองได้
"ซาจิเอะ" เจ้าของห้องอาหารนกนางนวล มีความคิดแบบคนรุ่นเก่าว่าหากร้านอาหารดี คนจะบอกต่อและมาเอง ถึงแม้ช่วงแรกๆจะมีแต่คนท้องถิ่นมาเมียงมองแต่ไม่เข้ามาในร้าน(สักที) เธอก็อดทนรอ
ระหว่างที่รอ มิตรภาพก็มาเยี่ยมกราย โดย"มิโดริ" สาวญี่ปุ่นอีก 1 คน ทีี่ใช้วิธีประหลาด(แต่น่าลองทำดูสักครั้ง) ด้วยการจิ้มประเทศที่อยากมาเยือน และประเทศนั้นคือ "ฟินแลนด์"!
เมื่อยามไกลบ้าน มิตรภาพก่อตัวได้ง่าย โดยเฉพาะยามเมื่อเจอคนชาติเดียวกัน ทั้ง 2 คนมีเพื่อนไว้คลายเหงา และไว้ปรึกษาหารือ มิโดริช่วยเติมเต็มความคิดสร้างสรรค์ให้กับซาจิเอะ ซึ่งยังคงความคิดเดิมๆ เห็นได้จากการบอกใ ห้เพื่อนลองทำข้าวปั้นแนวใหม่ที่ใส่ความเป็นท้องถิ่นลงไปในไส้ของข้าวปั้น ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีแต่ปลาแซลมอน สาหร่ายคอมบุ บ๊วยดอง เท่านั้น เธอบอกว่าน่าจะลองใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เช่นกุ้งเครย์ฟิช ครีมมายองเนสเพราะคนฟินแลนด์ชื่นชอบครีม)
นี่สินะที่เรียกว่า "เพื่อนกันควรมีส่วนผสมที่แตกต่าง" เธอนิสัยอย่างนั้น ชั้นชอบอย่างนี้ แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดียอมรับฟังกันได้
ทั้งสองคนไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
ตัวละครตัวสุดท้าย "มาซาโกะ" เข้ามาช่วยเพิ่มบรรยากาศของร้านนกนางนวลให้ดูคึกคักขึ้น เมื่อกระเป๋าเดินทางไม่มาพร้อมกับสายการบิน ทำให้เธอต้องมาแกร่วรออยู่ที่ร้าน และได้มีเวลาพูดคุยกับทั้ง 2 สาว จนกลายเป็นเพื่อนกัน และช่วยงานในร้าน
ความน่ารักของเรื่องนี้คือการมองคนญี่ปุ่นจากสายตาชาวฟินแลนด์ ที่คิดว่าซาจิเอะ ซึ่งตัวเล็ก น่าจะยังเป็นแค่เด็กหญิง แล้วทำไมเด็กหญิงมาอยู่คนเดียวในร้าน มันได้เหรอ พวกเขาซุบซิบและมีคำถาม ห้องอาหารเลยมีชื่อว่า "ห้องอาหารเด็กน้อย"ในช่วงต้น
ซาจิเอะ โชว์ความเล็กพริกขี้หนู ด้วยการจัดการกับโจรที่ต้องการปล้นร้านของเธอด้วยศิลปะป้องกันตัวที่ฝึกมาตั้งแต่เยาว์วัยถึงขั้นเป็น champ!
เรื่องราว feel good จบลงที่มาซาโกะตัดสินใจอยู่ฟินแลนด์ต่อ 3 สาวเลยมีความสุขที่มีเพื่อนให้อุ่นใจและช่วยกันทำงาน สุขใดไหนเท่ามีเพื่อนดีๆใกล้ตัว
---------------------------
ห้องอาหารนกนางนวล: When friendship begins (2)
มิตรภาพของฉันและเธอก็เริ่มจากเรื่องนี้เหมือนกันนะ เธอ บ.ก.คนใหม่ (ที่สถาปนาตัวเอง) ยื่นหนังสือเรื่องนี้มาให้ บอกให้เอาไปอ่านและ review!
เพื่อนคงเห็นว่าเรางานน้อย หรือเห็นว่าเราดูเหมือนว่าง ทั้งที่เรามักเล่ากิจกรรมร้อยแปดพันเก้าที่ทำ แต่เพื่อนบ่ได้สนใจ เพิ่มงานให้ซะงั้น
นั่นเลยเป็นที่มาของ"นกนางนอน"อย่างเราที่ต้องทำตามใจเพื่อน (เป็นเพื่อนที่ดีก็งี้:)
5 วันเป๊ะ เราก็อ่านหนังสือเล่มนี้จบ เย้! พร้อมกับความรู้สึกว่าการเป็นเพื่อนบางทีก็คงต้องคล้อยตามกันไป (เหมือนหัวอ่อน อิๆ)
-----------
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563
โลกกว้างของนกนางนวล
*หลังจากอ่านไปแค่ครึ่งทาง
เมื่อเพื่อนยื่นหนังสือ "ห้องอาหารนกนางนวล" พร้อมสั่งการบ้านอดีตบ.ก.(?) อย่างเรา ซึ่งโดนลดตำแหน่งมาเป็นสามัญชนคนธรรมดาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ เราก็เอานิยายเรื่องนี้ใส่กระเป๋าเดินทางระหว่างบ้าน-มาที่ทำงานแทบทุกวัน เป้าหมายคืออ่านให้จบภายใน 1 สัปดาห์!
เห็นหน้าปกแล้วอดแปลกใจที่เพื่อน(ชาย) อ่านหนังสือแนวนี้ มันดูละมุนละไมแบบหนังสือที่ติ่งญี่ปุ่นวัยรุ่นผู้หญิงน่าจะอ่านกัน
อ๊ะ...เราคงมองเพื่อนผิดไป เพราะเมื่อได้เปิดอ่าน มันกลับทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องนี้ชวนคิด และคิดตามไปกับกรอบสังคมของผู้หญิง โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น ที่ตัวละครในเรื่องใช้ชีวิตเรียบเรืี่อยไปวันๆ ตามที่สังคมกำหนด(ว่าดี) จนเมื่อพวกเธอลุกขึ้นมาปฏิวัติตนเอง ก้าวขาออกจากประเทศ(กรอบ)ที่ตนคุ้นเคย มายังที่แปลกใหม่ เรียกว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่เลยทีเดียว เพราะเธอไม่ได้ก้าวข้ามแค่ออกจากสังคมเดิม แต่ตัดสินใจมาอยู่ที่ใหม่ ที่ๆเธอต้องปรับตัวมากกว่าเดิม
ซึ่งนั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำความสุขมาให้พวกเธอ
1 คน กล้าเปิดร้านอาหารในฟินแลนด์
1 คน กล้าที่จะจิ้มประเทศบนแผนที่และตัดสินใจที่จะไปยังประเทศนั้น ! (อยากกล้าทำแบบนั้นบ้างจัง)
ภาพปกทำให้เรานึกถึงนกที่อิสระ มีเสรีภาพ บินไปตามใจฝัน พวกเธอก็น่าจะอยากเป็นแบบนั้น เพียงแค่ได้ทำตามฝัน หนทางข้างหน้าเป็นอย่างไร ก็ดำเนินกันไป เดี๋ยวมันก็ดีเอง เหมือนเพลงโปรดของเรา Something Good (วงนั่งเล่น)
"Every day may not be good, but there is something good in every day."
เราว่าพวกเธอมีทัศนคติการมองโลกแบบนั้น
ใครที่ได้อ่านเรื่องนี้จนจบ เราว่าน่าจะอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากชีวิตน่าเบื่อ น่าจะเกิดแรงบันดาลใจยุบยิบในใจ เผลอๆ อาจจะมีคนคว้ากระเป๋าออกเดินทางกันเลยทีเดียว :)
23 Oct.2020