วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Taiwanese tea eggs VS ไข่พะโล้


หลังจากเขียนถึงประสบการณ์แผ่นดินไหวจากทริปไต้หวัน เราก็เถลไถลเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ได้วกกลับมาเล่าเรื่องไต้หวันซักที

นั่งนึก นอนนึก ปั่นจักรยานนึก เราเก็บอะไรเป็นความทรงจำกลับมาจากไต้หวันบ้างเนี่ย
โอ๊ะโอ มี 108

ดังนั้นมาเริ่มที่เรื่องกินดีกว่า อิๆ

tea egg VS sweet stewed egg (ไข่พะโล้)

วัฒนธรรมการกินของไต้หวันและไทยบางอย่างคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเพราะคนจีนไปอยู่ที่ไหนก็เอาอาหารไปเผยแพร่ยังประเทศนั้นๆด้วย

เมื่อไกด์พาขึ้นเกาะหลังจากล่องเรือชมทะเลสาบสุริยันจันทรา ไกด์ซื้อ tea egg (ไข่รสชา)ให้กินรองท้อง ก่อนจะไปกินมื้อค่ำ





เรามองมันด้วยความพิศวง เพราะมันช่างคล้าย "ไข่พะโล้" ของไทย เหลือเกิน



ปิ๊งส์!! มันต้องเป็นพี่น้องไข่ที่พลัดพรากจากกันมาแน่เลย !!

รสชาติอร่อยดีด้วยนะ คล้ายๆกับไข่พะโล้และมีกลิ่นชาเล็กน้อย เหมาะกับกินรองท้อง หรือคนไม่มีเงินกินข้าวซื้อไข่ชากิน ก็ประทังหิวไปได้ ราคาไม่แพงลูกละประมาณ 10 บ.

หลังจากนั้นเราพยายามสอดส่า่ยสายตาหาว่ามันมีขายที่ไหนอีกบ้าง นอกจากสถานที่ท่องเที่ยว (เปรียบเทียบกับเมืองไทย ตามที่เที่ยวมักจะขายไข่ปิ้งเหยาะน้ำปลา เรายังไม่เคยเห็นที่ไหนขายไข่พะโล้ อาจจะเพราะมันไม่ใช่ของกินเล่นยอดนิยมเหมือนไต้หวันก็ได้นะ)


ที่หน้าวัดก็มีขายด้วยแน่ะ เราเห็นมันได้ทั่วไปตามท้องตลาด หรือแม้แต่ 7-11 !
คิดเล่นๆว่า 7-11 ของแต่ละประเทศก็เป็นตัวบ่งชี้การกินอยู่ของคนในชาติ (แน่ะ... ใช้ศัพท์(ทำเป็น)ทางการ ฮี่ๆ)

7-11 เมืองไทยขายขนมจีบ ซาละเปา จนคนขายมีประโยคติดปาก "รับขนมจีบ ซาละเปา เพิ่มมั๊ยคะ"

ที่ไต้หวันอาจเป็น " Would you like to buy tea egg, apart from other produces?"

พูดถึงร้านสะดวกซื้อ 7-11 คงมีแค่ที่เมืองไทยที่ต้องสอบถามลูกค้าแบบนี้ และทักทายสวัสดีเวลาลูกค้าเข้าร้าน ที่ประเทศอื่นๆเราว่าเค้าไม่ได้ทักทายนะ ไม่ว่าจะเป็นมาเลย์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น อเมริกา งั้นอาจนับได้ว่าพนง.ที่นี่มารยาทดีกว่าที่อื่นๆก็คงได้ :)

ก่อนกลับจากไต้หวัน เราหาข้อมูลการทำไข่ชาจากน้องไกด์ และ google เพื่อดูวิธีการทำ ด้วยความที่อยากจะทำโชว์ (อิๆ ผีแม่ครัวสิงเป็นครั้งเป็นคราว :)

วิธีทำ*
1. เตรียมไข่ ถุงชา ซอสดำ
2. ใส่ไข่ในหม้อ เติมน้ำลงไป ต้ม 15 นาที
3. เอาไข่ขึ้น แกะเปลือกออก (เพื่อให้ชาซึมในเนื้อไข่ได้ดี)
4. ต้มต่อประมาณ 1 ชม. 

หมายเหตุ: ยิ่งต้มบ่อยๆ ไข่จะยิ่งอร่อย (เหมือนที่แม่และยายบอกเลยว่าหากต้มไข่พะโล้ไว้หลายวันมันจะยิ่งอร่อยเนื่องจากน้ำพะโล้จะซึมเข้าไปในไข่)
              สามารถเติมไข่เพิ่มได้เมื่อไข่หมดโดยใช้น้ำซุปเดิม




* อ้างอิงสูตรจาก http://mickyrecipes.blogspot.com/2007/01/tea-egg.html

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตะรุเตา: มวน มึน เมา (ตอน 1)


ขอ 3 คำ สำหรับทริปตะรุเตา

มวน (ท้อง) 
มึน (งง)
เมา (เรือ)




ทริปตะรุเตาคราวนี้ (11-12 พค.56)เป็นทริปแก้มือ หลังจากที่เคยไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน แล้วขาแพลงก่อนขึ้นเรือทำเอาทริปนั้นเฝ้าห้องพักซะเป็นส่วนใหญ่

คราวนี้ไปอีกที คาดว่าเตรียมตัวเองพร้อม จะไม่ซุ่มซ่ามแล้วล่ะ

อ้าว มีอุปสรรคซะอีก คลื่นแรงมากๆๆจนนิิสิตส่วนใหญ่เมาเรือกันเป็นแถว ไม่เว้นแม้แต่นิสิตชายหรือพี่ตี๋ซึ่งแข็งแรง กล้ามใหญ่ 



จนท.ตะรุเตาบอกว่าเป็นวันแรกที่คลื่นสูง กว่าจะถึงจุดหมายจุดแรกคือ "เกาะหลีเป๊ะ" ใช้เวลา 2 ชม.ครึ่ง ก็สะบักสะบอม หน้าเขียวกันเป็นแถว ส่วนเราก็นั่งตุ้มๆต่อมๆ กลัวว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งกลางทะเลแถวนี้ซะแล้ว (ไม่น๊า...เค้ายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลยน๊า) 



เคล็ดลับไม่มึนของเราคือ หลับตาเป็นระยะๆ และพยายามหายใจเข้า หายใจออกไปพร้อมๆกับคลื่น เมื่อคลื่นสูง ก็หายใจเข้า และจังหวะหายใจออกไปตามจังหวะการทิ้งตัวของเรือ (พยายามคิดให้สนุกว่าได้นั่ง roller coaster รถไฟเหาะ (แต่เปลี่ยนเป็นเรือเหาะ) ฟรีตั้ง 2 ชม.กว่า 

พี่ตี๋ติงว่านั่งรถไฟเหาะมันแค่ไม่กี่นาทีนะ ต่างกันเยอะ :( 
เราเลยกลายเป็นคนที่แข็งแรงในหมู่นิสิตไป 

เอ่อ...ว่าแต่ขอเว้นวรรคการเที่ยวทางทะเลไปอีกนานเลยแล้วกัน

โปรแกรมทริปนี้ที่ตั้งไว้มีทั้งแวะหาดทรายขาว (ถูกตัดไป) เกาะไข่ (ตัด) เกาะหินงาม (ตัด) 
สุดท้ายเหลือเกาะหลีเป๊ะ และตะรุเตา



พวกเราลงเรือ ferry เพื่อนั่งเรือเล็กเข้าเกาะหลีเป๊ะ แต่ละคนไม่ค่อยได้เดินไปไหนกันสักเท่าไหร่ จากที่นิสิตชอบถ่ายรูป หลายคนนั่งให้หายมึน (เดี๋ยวไม่สวย) เอาแรงก่อน




แซวกันเล่นๆว่าทริปนี้นิสิตไม่อยากกลับเลย ไม่ได้ติดใจความสวยงามหรือธรรมชาติของเกาะหรอก  ฮ่าๆ สาเหตุหลักคือกลัวการนั่งเรือกลับ กลัวว่าจะเจอสภาพอากาศ คลื่นลมแบบเดิม



และก็เป็นดังคาด หลังจากนั่งพักและให้นิสิตเล่นน้ำที่หลีเป๊ะ ขากลับคลื่นยังแรงเหมือนเดิม น่ากลัวมาก เนื่องจากนิสิตส่วนใหญ่กลัวเมาเรือเลยขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้า ทำให้ข้างล่างไม่สมดุลย์ เรือเลยเอียงไปเอียงมา จนท.เรือต้องคอยเตือนให้นิสิตลงมานั่งด้านล่างเป็นระยะๆ 

นิิสิตกรี๊ดจริง กรี๊ดจังเวลาเรือเอียง ทำเอาเราประสาทเสีย พลอยกลัวไปตามเสียงกรี๊ดด้วย ตลอด 1.30 ชม. จากหลีเป๊ะ - ตะรุเตา เราเลยลุ้นไปตลอดทาง "ตูจะรอดมั๊ยเนี่ย" 




เฮ้อ!! โล่งอก ได้ขึ้นฝั่งตะรุเตา (อ่าวพันเตมะละกา) ซะที





เย็นๆไม่สามารถไปไหนได้ เลยไปเดินเล่นที่ชายหาด ทรายที่นี่เมื่อเดินเท้าเปล่าจะได้ยินเสียงเอี๊ยดๆด้วยล่ะ ด้วยความที่มันละเอียดมาก 




บรรยากาศที่นี่เงียบสงบ เหมาะกับการมาพักผ่อน ทอดอารมณ์ชิลๆและใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ที่กลางคืนไม่สามารถออกไปเที่ยวตามถนนคนเดินหรือนั่งผับ บาร์ ได้ 
เหมือนกับเกาะยอดฮิตอย่างสมุยและภูเก็ต







หาดทรายที่นี่ธรรมชาติสร้างสรรค์ศิลปะจากผืนทรายเยอะมาก ทั้งปูที่ผลิตรูปู ทำให้ผืนทรายมีลวดลายเป็นจุดๆ สวยดี น้องเต้ & ตั้ม เลยสนุกสนานกับการวิ่งไล่ปูลมตามประสาเด็กกับพี่เหมย เปิ้ล ตั้ม เคน





หมายเหตุ: ช่วงที่เหมาะกับการเที่ยวเกาะตะรุเตา คือ พย.-พค. เมื่อเข้าเดือนมิย.ก็จะเป็นช่วงมรสุม และมีการปิดเกาะร่วม 6 เดือน


วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ครอบครัวตึ๋งหนืด



บางครั้งได้อ่านหนังสือการ์ตูนเด็กๆซะบ้างก็ดี เราห่างหายกับมันไปนาน เพราะเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็พยายามอ่านหนังสือหลากหลาย จนหลงลืมหนังสือการ์ตูนในวัยเด็ก

เราเห็นการ์ตูน "ครอบครัวตึ๋งหนืด" มาพักใหญ่ๆ เคยพลิกๆดูชื่อตอน แล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเรา เช่นตอน "ตะลุยขุมทรัพย์"  "ตามล่าไดโนเสาร์" (ชื่อประมาณนี้น่ะนะ)  รู้มาว่ามันเป็นการ์ตูนจากประเทศเกาหลีที่ฮิตมากๆด้วย (ทำไมเรานิ่งนอนใจไม่อ่านมันมาก่อนหน้านี้เนี่ย เสียชื่อหนอนหนังสือหมดเลย!)



ตามร้านหนังสือมีครอบครัวตึ๋งหนืดโชว์เป็นหนังสือขายดีอยู่บ่อยๆ ตามห้องสมุดมหาลัย ห้องสมุดประชาชนก็มี แต่เมื่อมันมีหนังสืออย่างอื่นให้เราอ่านเยอะมาก เราเลยไม่คิดจะยืมอย่างจริงจัง
จนเมื่อไปบ้านน้องแบม เห็นหนังสือเรื่องนี้เป็นตั้ง (รู้ตัวอีกทีมันมีถึงเล่ม 20 แล้ว!) เลยยืมแบมมาลองอ่าน 1 เล่ม แบมบอกว่าแบมชอบอ่านมากและเล่มนี้ "ที่สุดแห่งความตึ๋งหนืด" แบมอ่านแล้ว

เย้! งั้นเริ่มด้วยเล่ม 10 เล่มนี้




เมื่อไปทานข้าวด้วยกันที่ร้าน Bliss เพื่อต้อนรับโอ๋ (จริงๆแล้วหาเหตุกินข้าว check-in ร้านที่ไม่เคยกิน อิๆ) เราเลยพกไปด้วย

น้องแบมเป็นคนที่ติดการเล่นเกมจากโทรศัพท์ แต่เมื่อยื่นหนังสือให้เค้า บางช่วงเค้าก็หยิบหนังสือมาอ่าน ทำให้เราคิดว่าหากส่งเสริมน้องให้อ่านเยอะๆ น้องน่าจะเป็นนักอ่านตัวน้อยที่รักการอ่านอีกคนหนึ่ง เด็กยุคใหม่หากผู้ปกครองส่งเสริมและทำให้เห็นบ่อยๆก็จะทำตาม เราเลยมีแผนว่าอังคารหน้าจะพาแบมไปยืม "ตึ๋งหนืด" เล่มใหม่ (แต่เก่าจากห้องสมุดประชาชน) กัน เราก็จะได้อ่านด้วย ฮี่ๆ

บัตรของขวัญจากร้าน Se-ed เราก็ยังมีเหลืออีก 5 ใบ งั้นเอาไว้ไปร้านหนังสือและซื้อเป็นของขวัญให้น้องสักหนึ่งเล่มน่าจะดี



ข้อคิดจากเรื่อง "ตึ๋งหนืด" เล่ม 10 

1. การประหยัดสามารถเริ่มได้แต่วัยเยาว์ และทำได้ทุกที่ เช่นโทรุ ดช.จอมซน เมื่ออยู่รร.ก็จะขอดินสอแท่งสั้นๆที่เพื่อนๆเขียนไม่หมดเอามาใช้ต่อ 

ความคิดนี้เราเคยทำเมื่อตอนเห็นข่าวที่พระเทพ หรือในหลวงเอาดินสอมาต่อด้ามไม้ไผ่เพื่อใช้จนหมด เห็นแล้วก็เอาเป็นแบบอย่าง แฮ่...แต่ก็ไม่นานก็ทำตามตัวเองสะดวกอีกแล้ว อ่านเล่มนี้ต่อม "ตึ๋งหนืด" เลยพลุ่งพล่าน

2. คุณตา คุณยาย ในเรื่องหางานทำเพื่อให้ไม่ว่างและฟุ้งซ่าน บางคนทำว่าว บางคนทำขนมโบราณขาย ตอนแรกยังไม่ได้รับความนิยม แต่ด้วยความที่การทำว่าว หรือทำขนมโบราณ มีคนทำได้น้อย ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจมาอุดหนุน คุณตาคุณยายเลยภูมิใจในตัวเองและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า 

 เราว่าตอนนี้ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างวัยให้มองเห็นคุณค่ากันและกัน การทำกิจกรรมร่วมกันเป็นการลดช่องว่างระหว่างวัยเด็ก - วัยอาวุโสได้ดี สมควรที่คนไทยจะเอามาเป็นแบบอย่างลองทำดู แต่จริงๆก็พอจะเห็นจากโครงการ ปราชญ์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่รร.ประถมของไทยให้นร.ได้เรียนรู้เรื่องราวละแวกบ้านของตนเองผ่านผู้สูงวัย เช่น การทอผ้า การทำนา การสานเสื่อกระจูด เป็นการเรียนรู้ร่ีวมกัน ผู้สูงวัยได้เล่าเรื่องราวแต่หนหลัง ในขณะที่เด็กยุคใหม่ได้รู้เรื่องราว ภูมิหลังของตน เกิดความภูมิใจในรากเหง้าของตัวเอง win-win กันทั้งคู่

3. การท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างประหยัดที่เกาหลี มีเรื่องหนึ่งน่่าสนใจคือ การอาสาสมัครนำ
บุตรบุญธรรมไปให้ผู้อุปการะต่างแดน ก็จะได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ฟรี  แต่อาสาสมัครก็ต้องมีความสามารถในการดูแลเด็กได้ด้วยระดับหนึ่งนะ


โอ้ว...เราเพิ่งรู้นะเนี่ยอาสาสมัครแบบนี้ก็มีด้วย !

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ก่อนจะเป็น "ชีวิตฉันเปลี่ยนไป...เมื่อได้อ่าน"


สุดสัปดาห์นี้ 4-6 พ.ค. 56 เป็นวันหยุดยาว เราเลยมีเวลานั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ (ประหนึ่งว่าปกติตัวเองไม่ค่อยมีเวลาเล่นคอมฯ ฮ่าๆ)

วันนี้เข้าไปดูเว็บ Dek-D.com ทำให้มือไม้สั่น และความคิดแล่นไปไกลด้วยความอยากเขียน เพราะเห็นประกาศของไปรษณีย์ไทยเชิญชวนให้เข้าร่วมประกวดเขียนจดหมาย

เขียนจดหมาย!


ใช่แล้วเขียนจดหมายหัวข้อ " ชีวิตฉันเปลี่ยนไป...เมื่อได้อ่าน" และหัวข้อมันช่างเหมาะกับหนอนอย่างเรามากๆ (หมายเหตุ: เราเปลี่ยนชื่อจากนกเป็นหนอนแล้ว :)


เราไม่ได้เขียนจม.มาเนิ่นนาน (แต่เวลาเขียนโปสการ์ดก็ทำประหนึ่งว่าเขียนจม.ฉบับสั้น เนื่องจากเขียนซะยาว อิๆ)




โครงการนี้โปรยหัวไว้ว่า " เปิดหนังสือ พลิกความคิด จุดประกายชีวิตจากการอ่าน"

เพื่อสนับสนุนวาระ "กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก 2556"
ชิงเงินรางวัลและเกียรติบัตร รวมมูลค่า 100,000 บาท
และจม.ที่ชนะยังมีโอกาสได้ลงในจดหมายเหตุแห่งชาติอีกด้วย

อันหลังนี่เท่ห์สุดๆเพราะคนรุ่นหลัง รุ่นลูก (เอ่อ... คงไม่มี) และรุ่นหลานจะยังได้อ่านจม.เหล่านี้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้รักการอ่านต่อไป


โครงการดีๆแบบนี้ต้องสนับสนุน ว่าแล้วเราก็เอาไปแปะทาง FB เพื่อช่วยปชส.โครงการซึ่งจะหมดเขต 31 ก.ค.56

เสร็จแล้วก็ได้เวลามานั่งนึกว่าเราจะเขียนอะไรเกี่ยวกับหัวข้อนี้ดีน๊า แล้วเราจะเริ่มเล่าจากตรงไหน เนื่องจากหากพูดถึงเรื่องการอ่าน สำหรับเราเป็นเรื่องที่ไม่รู้จบ


เอ...เราควรเริ่มตั้งแต่การรักการอ่านตั้งแต่ยังเด็ก หรือพูดถึงหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจ และมีส่วนทำให้เราเปลี่ยนดี

ก่อนหน้านี้เราเคยคิดจะเขียนถึงหนังสือที่ชอบเพื่อไปลงคอลัมน์ "หนังสือดีของผู้อ่าน" ซึ่งเป็นคอลัมน์ต่อเนื่องจากการที่คนดังมาเล่าเรื่อง "หนังสือดีของชีวิต" และส่งต่อหนังสือให้ผู้อ่าน ซึ่งจะว่าไปเราเฉยๆกับหนังสือที่จะได้รับ แต่สิ่งที่เราอยากได้คือ หนังสือที่เราพูดถึงไปโลดแล่นอยู่ในหนังสือ "ขวัญเรือน" ซึ่งเป็นหนังสือรายเดือนเล่มโปรดของเราอีกเล่มนึง และคอลัมน์ "หนังสือดีของชีวิต" ก็เป็นคอลัมน์แรกๆที่เราเปิดอ่าน เพื่อดูว่าคนดังเค้าแนะนำหนังสือเล่มไหน เราเคยอ่านเล่มนั้นแล้วหรือยัง






หากได้ลง ก็จะเป็นความสำเร็จเล็กๆในชีวิตที่นึกแล้วทำให้ยิ้มได้ หลังจากที่ยิ้มแฉ่งจากการที่ A Day ฉบับพ.ย.55 อีเมลเราได้ลงในคอลัมน์ 2 Way Communication



ว่าแต่จนป่านนี้เราก็ยังไม่ได้รับหนังสือซึ่งเป็นรางวัลจากการที่อีเมลได้ลงหน้านี้เลย แปลกมาก เวลาผ่านมาเนิ่นนานเกือบ 6 เดือน

ไม่เป็นไร จุดประสงค์หลักคือครั้งนึงเรื่องที่ตัวเองเขียนได้ลง a day ก็ดีมากๆแล้ว ไว้จะหาโอกาสเขียนไปลงคอลัมน์ "บันทึก 1 วัน" เย้! เป้าหมายต่อไปของเรา

หลังจากที่เราแนะนำหนังสืออะเดย์ให้ห้องสมุดมาหลายครั้ง ในที่สุดห้องสมุดมหาลัยก็รับหนังสือแล้วโดยเริ่มที่ฉบับ Human Ride เดือนกพ.56 เราว่าหนังสือเล่มนี้หากนิสิตได้อ่านมันจะเพิ่มแรงบันดาลใจให้กับพวกเค้าและได้เรียนรู้จากคนที่มีแรงบันดาลใจในการทำดีและทำตามฝัน เป็นเหมือนคัมภีร์ของเด็กแนวประมาณนั้นเลย เราอ่านมาตั้งแต่หนังสือเริ่มตั้งไข่ สมัยเราเรียนปริญญาโท จนตอนนี้ก็ยังติดตามอย่างเหนียวแน่น


ฉบับ Human Ride เป็นฉบับที่เราเห็นแล้วอยากซื้อเก็บ และคาดว่าห้องสมุดคงยังไม่สั่งหนังสือมาแน่ๆ เลยซื้อซะเอง เมื่อพี่จิ๋ม จนท. เจอเรา พี่เค้าบอกว่าตอนนี้ห้องสมุดสั่งให้แล้วน๊า

อ๊ะฮ๊า เป็นฉบับที่เรามีแล้วนี่เอง

ว้า ...แอบเสียดายเงินเล็กๆที่ซื้อเล่มนี้ งั้นต้องละเลียดอ่านทีละนิด อิๆ