วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The Reading Project for Life Enhancement




Reading Project: แลกกันอ่าน ส่งผ่านความสุข
                                                                                                
                                                                                      ดิญะพร วิสะมิตนันท์  (มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา )
Humphrey Fellow 2011-2012, Pennsylvania State University

หลังจากที่ดิฉันได้เป็นส่วนหนึ่งในงาน Fulbright Talk Show : Read with Greed  ที่จัด ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ อ. หาดใหญ่ สงขลา โดยการเป็นแขกรับเชิญพูดถึงหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจ และมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดี เสร็จจากกิจกรรมวันนั้น ดิฉันมาคิดต่อว่าจะทำโครงการพัฒนาการอ่านอย่างไรดีให้นิสิตได้สนุกกับการอ่านและปลูกฝังการรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับพวกเขา อีกนัยหนึ่งก็จะได้ชื่อว่าสามารถก้าวข้ามสถิติการอ่านของคนไทยว่าอ่านหนังสือปีละไม่กี่บรรทัด 

เทอมการศึกษาที่ 2/2555 ดิฉันสอนวิชา Analytical and Critical Reading เลยเอาความคิดที่จะพัฒนาการอ่านมาทำให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อเสร็จกิจกรรมในชั้นเรียนวันนั้น ดิฉันดีใจมากที่เห็นเด็กไทยกระตือรือร้นกับการอ่าน และสนุกกับการเล่าถึงหนังสือเล่มโปรดของตนเองด้วยตาเป็นประกาย และแต่ละคนดีใจที่เพื่อนให้ความสนใจในหนังสือที่ตนเองเลือก
นิสิต 4 คนจากคณะศึกษาศาสตร์ เอกอังกฤษ ได้แสดงความคิดเห็นต่อกิจกรรมครั้งนี้ไว้ดังนี้


        กิจกรรมแลกกันเปลี่ยน  เวียนกันอ่าน  ( Reading  Project )  เป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างเพื่อนในชั้นเรียน  โดยที่เรานำหนังสือเล่มโปรดหนึ่งเล่มไปวางรวมไว้กับหนังสือเล่มโปรดของเพื่อนที่หน้าชั้นเรียน  หลังจากนั้นเราก็จับฉลากเพื่อเลือกลำดับที่ในการออกไปหยิบหนังสือที่เราสนใจและอยากอ่านที่หน้าชั้นเรียนคนละเล่ม  เราถือหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย  (The Little Prince)  ของ อองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรี ไปแลกกับเพื่อน  หนังสือเรื่องเจ้าชายน้อยเป็นการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของเจ้าชายน้อยจากดาว  B612 อันแสนไกล ไปยังดาวดวงต่างๆและได้พบเห็นผู้คนหลากหลายลักษณะที่กระทำพฤติกรรมที่ไร้คุณค่า  แต่ในที่สุดเจ้าชายน้อยได้เดินทางมาพบคนจุดตะเกียงที่ทำประโยชน์ให้ผู้คนมากมายและได้สร้างความประทับใจให้กับเจ้าชายน้อย  หลังจากที่เพื่อนๆหลายคนได้ออกไปเลือกหนังสือกันก่อนแล้ว  จนถึงลำดับที่ของเรา  เราตื่นเต้นมากกับหนังสือที่วางเรียงอยู่ตรงหน้า  มีหลากหลายแนวทั้งเรื่องสั้น  นวนิยาย  นิทาน  หนังสือเรียนหรือแม้แต่หนังสือธรรมะก็มีให้ได้เลือกอ่าน  เราเลือกหนังสือเล่มบางๆของบินหลาสัน กาลาคีรี  ชื่อว่า  ปลาฉลามฟันหลอ  เป็นนิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ก็อ่านได้ด้วย  ปลาฉลามฟันหลอบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าชายฉลามที่ฟันหลุดจนหมดปากหลังจากเกิดมาได้ไม่นาน  พระราชาและพระราชินีฉลามต่างหาสาเหตุของอาการฟันหลอที่ลูกปลาฉลามเป็น  สาเหตุต่างๆที่ทำให้ลูกปลาฉลามฟันหลอกระตุกความคิดของผู้อ่านให้ห้วนระลึกถึงพฤติกรรมอันดีงามที่พ่อแม่ให้ไว้เป็นแบบอย่างแก่ลูกๆ  โรส นำหนังสือเล่มนี้มาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆเพราะคิดว่า  ปลาฉลามฟันหลอคือตัวแทนของเด็กๆในครอบครัวที่จะช่วยกันเปิดมุมมองความคิดให้ผู้ใหญ่เข้าใจเราและร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันลูกฉลามตัวอื่นๆฟันหลออีกด้วย
                เราชอบ  Reading  Project  มาก  เป็นครั้งแรกที่เราได้นำหนังสือเล่มโปรดของเรามาให้เพื่อนๆในชั้นเรียนได้เลือกอ่าน  มีหนังสือเล่มโปรดของเพื่อนอีกหลายเล่มที่ทั้งน่าอ่านและชวนติดตามให้อ่าน  การอ่านที่ผู้อ่านรู้สึกสนุกไปกับการเลือกหนังสือและได้อ่านหนังสือที่เราชอบย่อมทำให้ผู้อ่านรักการอ่านมากขึ้นทีเดียว
                                                                                                                                                             นางสาวศิริขวัญ  พัฒนศิริ
                                                                                   

            
    อาจารย์ให้นำหนังสือที่ตนเองชอบมาคนละ 1 หรือ 2 เล่ม ซึ่งถ้าทุกคนปฏิบัติตาม นำหนังสือที่ตนเองชอบมาจริงๆ ก็เท่ากับว่าได้ประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเขาชอบอะไร เขาต้องการอะไร เขาหวังอะไรในอนาคต แต่ถ้าใครเอามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์ของกิจกรรมก็คงจะไม่ประสบกับความสำเร็จของจุดประสงค์ในกิจกรรมนี้ได้ เพราะเมื่อนำหนังสือทั้งหมดมารวมกัน ก็จะจับฉลาก ใครได้ลำดับที่แรก ก็สามารถเลือกหนังสือที่มากองรวมไว้ โดยที่หนังสือนั้นมีชื่อของเจ้าของกำกับอยู่ได้ก่อน แล้วเราก็นำไปอ่าน รู้ไหมคะ.... คนที่เลือกก่อนก็จะเลือกหนังสือที่ตนเองชอบเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเจ้าของหนังสือกับคนที่เลือกหนังสือ มีความชอบในสิ่งเดียวกัน เขาคือเพื่อนกัน ที่สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง ส่วนคนที่ไม่ได้เลือกหนังสือตามความชอบที่ตนเองต้องการ ก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และเข้าใจความต้องการ ความสนใจของเพื่อน จากเนื้อหาสาระของหนังสือ
                 กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งไม่สามารถจะบรรยายได้หมด ดิฉันได้เลือกหนังสือที่ดิฉันชอบไปให้เพื่อนอ่าน 2 เล่ม คือ “ฮวนนั้ง” เขียนโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ หนังสือ “กระชากวิญญาณ”  ดิฉันเลือกหนังสือของเพื่อนมา 1 เล่ม คือ “ศัพท์ (สับ) ขาหลอก บอกแล้วไม่ต้องท่อง” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และดิฉันกำลังอ่านอยู่ ดิฉันภูมิใจที่มีเพื่อนที่สนใจเหมือนกับดิฉันและ ดีใจจังที่ได้มีเพื่อนไว้คุยในสิ่งที่สนใจเหมือนกัน

                  นางสาววิลดาฮ์  วัฒนดำรงสกุล




การแลกหนังสือกันอ่านเป็นกิจกรรมที่สนุกมาก เพราะเราจะมีหนังสือให้เลือกเยอะซึ่งแต่ละเล่มเพื่อนก็จะเลือกเล่มที่เขาชอบ และน่าสนใจมาแลกกัน บางครั้งการอ่านหนังสือที่เพื่อนแนะนำก็จะทำให้เรารู้จักหนังสือหลายๆ ประเภท เมื่อเลือกแล้วอาจารย์ก็จะให้ออกมาพูดว่าทำไมถึงเลือกหนังสือเล่มนั้น และให้พาเจ้าของหนังสือมาด้วยและให้เจ้าของหนังสือบอกเหตุผลที่นำหนังสือเล่มนี้มา มันสนุกมากๆ เราก็ได้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้มันเป็นยังไง สนุกตรงไหน ทำไมเพื่อนถึงเลือกมา ทำให้อยากอ่านหนังสือเล่มนั้นให้จบไวไว อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นแบบที่เพื่อนพูดไว้หรือไม่ และเมื่ออ่านหนังสือเล่มนั้นจบก็สามารถแลกกับเพื่อนคนอื่นได้อีก ทำให้เราได้อ่านหนังสือหลายๆ เล่มที่น่าสนใจ และมีมุมมองที่กว้างขึ้นเพราะหนังสือที่เพื่อนเอามามีหลายประเภท ทั้งที่เป็นนิยาย การ์ตูน  หนังสือทางวิชาการ วรรณกรรม หนังสือท่องเที่ยว นิทานสอนใจ เป็นต้น  แม้ว่ากิจกรรมนี้อาจจะเป็นกิจกรรมเล็กๆ ภายในชั้นเรียน แต่ก็ทำให้สนุก อยากอ่านหนังสือมากขึ้น และได้รับความรู้เพิ่มขึ้นโดยการอ่านหนังสือที่ดี ที่ไม่ต้องซื้อ และยังได้รู้จักเพื่อนมากขึ้นจากหนังสือที่เขาอ่านอีกด้วย

     นางสาวสิริพุฒก์  ชุมช่วย  
----------------------------------------------

หมายเหตุ รูปภาพเอามาจากกิจกรรมแอ็คท่า น่าอ่าน ที่กำหนดให้นิสิตโพสท์ท่าถ่ายรูปอย่างสร้างสรรค์อย่างไรก็ได้โดยมีข้อแม้ข้อเดียวคือต้องมีหนังสือประกอบฉาก และให้เขียนบรรยายสนุกๆ เพื่อจะได้นำมาโหวตกันในภายหลังว่าภาพใครโดนใจเพื่อนๆที่สุด ก็จะได้รับรางวัลเล็กๆ 3 รางวัล

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เกมกระดาน: หมากล้อม & scrabble


เกมในร่มประเทืองปัญญาก่อนสิ้นปี 2012






scrabble  / crossword จะเรียกแบบไหนก็ได้ จัดเป็น board game ที่่ฝึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และฝึกการคิดเรื่องการวางตัวอักษรให้ได้แต้มมากที่สุด เราเคยหัดเล่นอย่างไม่จริงจังตอน ม.5 (เอ...หรือว่า ม.ุ6 หว่า แบบว่ามันนานมากแล้วอ่ะ อิๆจำได้อย่างลางเลือน) ตอนนั้นเป็นตัวแทนไปแข่งขัน scrabble ที่โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุง ยะลา ฮ่าๆ แพ้ราบคาบ (ก็บอกแล้วว่าถนอมฝีมือ อิๆ จริงๆแล้วเพราะคิดเอาว่ารู้ศัพท์ภาษาอังกฤษมากก็น่าจะเล่นได้ แต่ลืมไปว่าเมื่อมันเป็นเกมมันต้องมีอะไรที่เหนือจากเรื่องคำศัพท์ เช่นการจำคำที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรมแต่เอามาเติมลงไปได้ ได้คะแนนดีอีกตังหาก

เมื่อสอนที่มหาลัยทักษิณก็เคยช่วยเวลาที่มีการแข่งขัน scrabble ระดับมัธยม (ช่วงหลังๆไม่มีแล้ว) แล้วก็ลางเลือนไปอีกทีเพราะไม่ค่อยได้เล่น เคยเล่นบ้างกับน้องกุล เวลาที่น้องมาให้สอนการบ้าน

เราเริ่มมาปัดฝุ่นการเล่นอีกครั้งเมื่อน้องซี ( ม.4) น้องสนิทจากบ้านโสสะ อยากเล่นและอยากเข้าแข่งขัน scrabble เมื่อน้องซื้อกระดาน scrabble มาแล้วก็เริ่มหัดเล่นกันเลยที่ห้องสมุด เราต้องมานั่งอ่านทบทวนกติกาการเล่นอีกครั้ง และเรียนรู้ไปพร้อมกับน้องซี

เราได้รู้ข่าวโรงเรียนวรนารีเฉลิมก็จากซี เนื่องจากซีมักมีการบ้านโดยเฉพาะเขียนเรียงความมาสอบถาม
เรามักจะไม่ปฎิเสธเวลาซีบอกว่ามีการบ้าน เพราะเห็นน้องซีมีพัฒนาการด้านดี ขยันเรียนและกระตือรือร้นกับการเรียนภาษาอังกฤษ เราบอกให้ซีโทรมาหาเราล่วงหน้า 1 วันเพื่อจองคิว เอ๊ย ม่ายช่าย
เพื่อดูว่าเราว่างตอนเย็นๆเวลาเดียวกันมั๊ย เราอยากให้ซีรู้ว่ายังมีคนที่คอยห่วงใยและสนใจความเป็นไปของเค้า เพื่อที่ว่าวันนึงที่เค้าท้อถอยหรือคิดอะไรนอกลู่นอกทาง เค้าจะได้รู้ว่ายังมีคนรักเค้าอยู่ แล้วเราก็จะได้สั่งสอนน้องหรือเห็นพฤติกรรมเพื่อจะได้เตือนเค้าได้

จำได้ว่ามีครั้งนึงที่เขียนเรียงความเรื่องวันเกิด ทำให้เราอึ้งเพราะซีบอกว่าซีไม่เคยได้ของขวัญวันเกิด
เราว่าความรู้สึกนี้มันคงเศร้านะ เพราะไม่ใช่เรื่องของการขาดของขวัญแต่เป็นการขาดความอบอุ่นเล็กๆซึ่งเด็กคนนึงอยากได้

 หมากล้อม/ โกะ





เราให้ซีลองดูราคาหมากล้อมว่ากี่บาท จากร้านที่ซีไปซื้อ scrabble เมื่อมันแค่ 155 บาท ก็ไม่แพงเกินไปแฮะ เราสนใจอยากเล่นหมากล้อมมาระยะนึงแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหัดเล่น จนเมื่อใกล้ปีใหม่ก็จะตื่นตัว ตื่นเต้นอยากทำโน่น นี่ นั่น เป็น มีรายการ 108/1009 ที่เข้ามาในหัว ฮ่าๆ โกะก็เป็นหนึ่งในนั้น

เราหาเหตุผลให้ตัวเองว่าแต่ละปีต้องหัดเล่นเกมอะไรใหม่ๆ นึกถึงหมากรุกซึ่งน่าจะยากมากและคงต้องทุ่มเทเวลากว่า (อิๆ ออกแนวขี้เกียจมาแต่ไกล) เราว่าโกะน่าจะเหมาะกับเรา




ว่าแล้ววันนี้หนูนานัดเจอ เราเลยชวนไปซื้อของ ถือโอกาสไปร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้ออุปกรณ์การเรียนไปบริจาคให้น้องๆโสสะ ( โอ๋ อ๋อย มด และ เรา คิดกันไว้ว่าจะบริจาคเงินคนละ 500 บ. เพื่อซื้อของให้น้อง ปีก่อนโน้นเป็นเสื้อที่อ๋อยหามาจากจากประตูน้ำ ) ปีนี้เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้รับเลยสอบถามก่อน ได้ความว่า สมุด ปากกา ดินสอ ดินน้ำมันขาดแคลน เนื่องจากมีของมาบริจาคน้อยลง

เมื่อไปซื้อของที่ร้าน เราเลยสอดส่ายสายตาหาอุปกรณ์เล่นหมากล้อมด้วยซะเลย กลับมาบ้านด้วยอาการเห่อ เข้า youtube เพื่อดูการเล่นโกะ เจอ "การสอนเล่นโกะจากอาจารย์โอ้" ซึ่งเป็นแชมป์โกะแห่งประเทศไทย เลยดูเพื่อความเข้าใจ หลังจากที่อ่านจากฝากล่องแล้วยังไม่เข้าใจดีนักว่ามันจะเหมือนกับการเล่นหมากล้อมที่เคยเล่นบนกระดานหมากฮอร์สรึเปล่า หลังจากนั้นก็ไปอ่านประวัติ

โอ้ว...โกะ: Just Know It

- โกะจัดเป็นหนึ่งในศิลปะจีน 4 อย่างที่ขึ้นชื่อของจีน นอกเหนือจากตัวอักษรจีน ดนตรี ภาพวาด
- เริ่มต้นที่ประเทศจีน แพร่ไปสู่ญี่ปุ่น และเกาหลี มีอายุประมาณ 3000-4000 ปีแล้ว
- ที่เกาหลีมีปริญญาตรีโกะศาสตร์ จบแล้วได้งานง่าย (นี่เค้าเล่นกันเป็นเรียนเลยหรือเนี่ย)
- มีการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง "หมากล้อมฮิคารุ เซียนโกะ" (ดูได้จาก youtube) สนุกด้วยล่ะ

ไว้ไปมหาลัยเราจะไปสอบถามดูว่าใครเล่นโกะเป็นบ้าง เราจะได้ขอช่วยให้สอนเราสักหน่อย
----------------




วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

New year party & wedding reception: 2012

New Year party

In the New Year, may your right hand always be stretched out in friendship, but never in want.
                                                                                                 Irish Toast
 
 



December is always the month that people are looking forward to as it’s holiday season. The frequently asked question is “What’s your new year plan?”. “Any trip?”




Before TSU staff will be hectic with proctoring the midterm exams from 24-28/12/12 and visiting hometown, TSU chose the doom day, 21/12/12, to be the day for New year party on campus. I thought the staff looked forward to this time of the year as they’d get a chance to win about 50 gifts from a lucky draw offered by the head of each dept. & executives. I was also the one who would like to check my luck. Probably it’s me who carried one of 2 fridges home. Not only 2 fridges, I saw a washing machine, microwave, rice cooker, fan, blanket, and etc. Wow!




Soi, Tohn, Aj. Rattiya, P’Waew, P’Nong, P’Yok & I came to the party around 5 pm. and we had to wait till the president arrived to be able to grab food at the food booths. Very hierarchy, huh!

I know, I know, I’d no luck. Even I waited till 9.30 pm, my name wasn’t announced. How come! Probably other staff also thought like me that if they waited till the end of the party, luck would be theirs. Haha…



Tohn, P’Waew & P’Nong gave up after 1 hr. I’m afraid that if I left the table, if my name was called out, I’d be regret so why didn’t wait for a while J.

Thinking positively, I came home with empty hands,but at least I got full stomach:)


Fang’s Wedding Party




Fang, Ajarn Jammaree’s youngest daughter, celebrated her wedding at the B.P.Samila Hotel on Sun. 23/12/12. She might not recognize me & some lecturers from the Western Lang. Dept., but since Aj.Jammaree’s a kind senior lecturer who always supports young lecturers, so almost everyone from the dept. willingly participated in this reception. Surprisingly, the next day was the first day of the midterm exam week, but Aj.Jammaree came to proctor the exam. Such a responsible woman. Some people might come up with the excuse that they’re very exhausted from the reception as it’s understandable. This’s really a spirit.

-----------------------------

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Never get bored of visiting SOS Children's Village





ก่อนสิ้นปีเ่ก่า ต้อนรับปีใหม่ ก็ต้องทำความดีด้วยการแบ่งปันความสุขให้น้องๆโสสะกันสักหน่อย
อาทิตย์ที่ 23 /12/55 เป็นฤกษ์ดีด้วยฝนไม่ตก จริงๆแล้วกะจะไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่ว่าพยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกหนักมากช่วงเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งวันเสาร์ฝนตกหนักมากจนน้ำจะท่วมมหาลัย เราเลยโทรยกเลิกนิสิต อ้าว...แดดออกแจ๋ (พยากรณ์อากาศเมืองไทยเชื่อได้มั๊ยเนี่ย)



คราวนี้ตื่นเต้นว่าการไปหาน้องๆครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะหยาด ชาลี และชะ นิสิตปีสามเอกเทคโนการศึกษาฯ ต้องการจะไปทำสารคดีเพื่อเชิดชู "แม่" ที่หมู่บ้านเด็ก เนื่องจากแม่ๆที่นี่ต้องดูแลบ้านซึ่งมีลูก 10 คนในบ้าน 1 หลัง เราว่านิสิตคิดประเด็นได้คม เพราะตอนแรกเรานึกว่านิสิตจะหยิบชีวิตน้องมาเล่า ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่อง sensitive และกระทบกระเทือนจิตใจน้องๆได้

เมื่อไปถึงเห็นพี่ๆจากมอ.มาทำกิจกรรมเล่นกับน้องๆ อืม...รู้สึกดีที่น้องๆมีพี่ๆมาเล่นและทำกิจกรรมด้วย เพราะลำพังเรากับนิสิตที่ชวนกันมาก็ไม่ได้มาทุกอาทิตย์ การที่น้องๆมีคนอื่นๆมาเล่นด้วย น้องๆจะได้ไม่รู้สึกเหงาเกินไปนัก




เรา นา (สมาชิกเก่า) พร้อมเพื่อนๆทั้ง 3 เลยย้ายฐานจากที่เคยเล่นที่ลานกิจกรรม รร.เตรียมอนุบาลมาเป็นห้องสมุดแทน ยังมีน้องๆที่ไม่ได้ไปเล่นกับพี่ๆมอ.อีกหลายคน เราเลยชวนมาอ่านหนังสือ เขียนตามคำบอก ระบายสี (โชคดีน้ำตามมาและเอากระดาษพร้อมสีมาด้วย น้ำมักจะรอบคอบและเตรียมกิจกรรมมาเล่นกับน้องเสมอ) น้องๆหลายคนตัวเล็กตัวน้อยมากันเต็มห้องสมุด ทำให้รู้สึกว่ามากี่ครั้งน้องก็ยังสนุกสนานและอยากจะมาร่วมเล่นกับพวกเรา



มาเมื่อครั้งที่แล้วเราได้ช่วยน้องแจ๋วทำการ์ดอวยพรส่งไปให้ผู้อุปการะเด็กๆด้วย ปกติเราจะขอมีส่วนช่วยทำทุกปีเพราะอยากเรียนรู้การทำการ์ดน่ารักๆเอาไว้เป็นความสามารถพิเศษ(ที่เพิ่งจะมาเก็บตกเอาตอนโต อิๆ) ปีนี้เป็นลายผีเสื้อซึ่งทำมาจากใบยาง โอ้ว...ลายยากขึ้นๆแฮะ ช่วยน้องแจ๋วทำได้แค่ 6 ใบ เพราะแจ๋วทำเกือบเสร็จหมดแล้ว ว้า...ฝึกฝีมือได้ไม่เท่าไหร่เลยอ่ะ ไม่เป็นไรๆปีหน้าไว้จะหัดทำใหม่ แต่ละปีลายสคส.ไม่เหมือนกันด้วยนะ ทำให้เราตื่นเต้นคอยลุ้นว่ามันจะเป็นลายอะไรได้อีก



น้ำกับนา มด มักจะมากับเราบ่อยๆ หากมาครั้งไหนแล้วมีนิสิตมาน้อย เราก็มักจะได้นิสิตเหล่านี้เสริมทีม สำหรับเราได้เห็นความสุขจากน้องๆที่ดีใจเวลาพี่ๆมาหา และเห็นพี่ๆมีความสุขที่น้องๆคิดถึง ถามถึง ก็ทำให้เรารู้สึกว่า "การสร้างความสุขให้ผู้อื่นไม่ใช่เรื่องยาก แค่แบ่งปันเวลาที่เรามี ทำให้สม่ำเสมอ ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตและกายของเรา "  เคยมีคำกล่าวว่าคนที่มีความทุกข์ หากวุ่นวายกับการสร้างสุขให้คนอื่น ก็จะลืมความทุกข์ได้ และไม่มีเวลาไปคิดร้ายกับใครๆ

----------------

เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด เราคิดว่าการมาขอทำสารคดีหากมีเจตนาดีไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะมันจะได้เผยแพร่แง่มุมดีๆของโสสะ และเห็นแม่(จำลอง)อีกมุมนึง และเป็นการส่งเสริมคนดีๆ



พวกเราต้องเขียนหนังสือขออนุญาตเพื่อทำสารคดี โดยที่ทางโสสะจะส่งไปที่สนง.ใหญ่ที่กทม.เพื่อให้พิจารณาว่าจะอนุญาตมั๊ย เรื่องนี้เข้าใจได้ว่าทางโสสะต้องการปกป้องสิทธิของเด็ก

ทีมพวกเราเลยต้องชะลอแผนการทำงานไปก่อน หวังว่าจะมีข่าวดีในไม่ช้า

-------------------------

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความสามารถพิเศษที่ค่าย Art for All


การทำดอกไม้ประดิษฐ์ (กล้วยไม้หางกระรอก)จากเชือก

ฐานนี้ได้รับความสนใจจากอาจารย์ ผู้ปกครอง (รวมทั้งเรา อิๆ) มากๆ เราหมายมาดเอาไว้ว่าจะต้องทำมันให้ได้เพื่อจะได้โชว์ใครต่อใคร แอบคิดไกลไปว่าจะได้ทำเป็นของขวัญปีใหม่(ให้ตัวเองก่อนเนื่องจากน่าจะยังไม่ สวยนัก) แต่ละปีเราตั้งใจเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือเพิ่มพูนงานฝีมือให้ตัวเอง การทำดอกไม้ประดิษฐ์ครั้งนี้จะได้ทำให้เราภูมิใจในตัวเองเล็กๆ นิสิตบอกว่าให้เราเรียนรู้เอาไว้กลับไปมหาลัยให้สอนพวกเค้าด้วย เพราะพวกเค้าเป็นพี่เลี้ยง ไม่มีเวลามานั่งเรียนแบบเต็มเวลาอย่างเรา เย้! จะได้เปลี่ยนไปเป็นครูสอนวิชาการฝีมือแล้ว






อืม…ช่วงแรกๆของการทำเมื่อยมือกันไปเลยกับการบิดเชือก เกือบครึ่งวันได้มา 2 ช่อ (คนที่ทำเก่งๆจะได้ประมาณ 5) ไม่ว่าจะเดินไปไหน เราก็ติดมันไปทำด้วย อิๆ เห่อซะ คุณครูและผู้ปกครองคนอื่นๆก็เห็นนั่งทำกันตลอดเวลา ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของทุกคน สอบถามคุณป้าผู้สอน ท่านบอกว่าไปหาซื้อของที่กทม.เห็นที่ร้านมีแขวนดอกไม้ประดิษฐ์อันนี้เลยถาม ว่าทำยังไง เจ้าของร้านเลยสอนให้ (ใจดีจัง) คุณป้าเลยได้เอามาสอนต่อให้กลุ่มแม่บ้านที่สุราษฎร์ฯ







คุณป้าอาสาสมัครเห็นของเราเลยขอเรา 1 ช่อเพื่อเอาไปเป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆที่กทม.ดู พิจารณาจากช่อสีแดงอันแรกที่บิดเบี้ยวกับสีขาวที่เริ่มดีขึ้นมาหน่อย เราเลยเลือกให้อันสีขาวกับคุณป้าไป เพื่อนๆป้าจะได้เห็นว่าจริงๆแล้วดอกกล้วยไม้มันสวยนะ อิๆ หากเห็นอันแรกอาจจะไม่มีคนอยากทำ เพราะไม่เห็นว่ามันจะดูดีตรงไหน :) เรามีคติว่าเวลาจะให้ของใคร เราควรจะให้อันดีๆเพื่อคนรับจะได้ดีใจ หากเป็นเมื่อตอนเด็กๆ หากมีคนขอของที่เรามีอยู่ 2 ชิ้น เราจะให้อันที่ดูด้อยกว่า ฮี่ๆ (อันดีๆต้องเป็นของเรา) คนเราพอโตขึ้นควรจะใจกว้างมากขึ้นเนอะ ในวันสุดท้ายของค่ายแต่ละฐานได้รับมอบหมายให้ทำงานศิลป์ 1 อย่าง เอามารวมกันเป็นคำว่า "ทรงพระเจริญ" ฐานดอกไม้ได้รับโจทย์เป็น "ญ" เลยใช้วิธีเอาดอกกล้วยไม้มาเรียงกันเป็นตัวอักษร เก๋มากๆ (แปะๆๆ)







ภาษามือ
เข้าค่ายครั้งนี้มีโอกาสเรียนภาษามือ (sign language) หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ และหัดร้องเพลงพร้อมประกอบท่าทางภาษามือ สนุกจัง เป็นภาษาใหม่ที่ไม่ต้องเหนื่อยกับการพูด เรากลับมาด้วยความเห่อเลยรีบหา youtube ที่สอนภาษามือง่ายๆดูเอาไว้เป็นความรู้ แถมได้ฟังนิทานภาษามือด้วย สนุกกับการได้ดูคุณครูนักเล่าเรื่องกระต่ายกับเต่า และท่าทางของกบ ฟังนิทานไม่มีเสียงก็ให้สมาธิไปอีกแบบเพราะต้องมีใจจดจ่อกับสิ่งที่เห็น โดยมีล่ามแปลจากพี่ๆอาสาสมัครอีกที  เรารู้สึกว่าต่อไปเวลาดูทีวีที่มีล่ามมือเราจะเข้าใจมันได้มากขึ้นแล้วล่ะ
------------------




ไอติมกะทิที่ค่าย Art for All อร่อยมากกก…มีคุณสมบัติพิเศษทำให้น้องๆหลายคนหายซน อยู่นิ่งๆได้ชั่วขณะ น้องนิอักฮัลซึ่งได้รับการโหวตจากพี่ๆว่าซุกซนที่สุดก็สามารถสยบได้ด้วย ไอติม เราช่วยดูแลน้องช่วงสั้นๆตอนกินไอติม น้องดูเข้าใจเวลาที่พี่ๆคุยด้วย แต่ว่าไม่ยอมพูด เมื่อเราขอไอติม (หลังจากที่กิน 3 โคนเข้าไปแล้ว) น้องก็ไม่พูดอะไร เราเลยลองยื่นมือออกไปจะหยิบไอติมจากน้องๆหันมาตีมือ และก็กินต่อไป ประมาณว่าอย่ามาแย่งชั้นนะ เมื่อน้องไม่พูดด้วยและดูนิ่งๆเราเลยหันไปดูการแสดง แต่น้องก็ตีมือ(อีกที)ประมาณว่าให้สนใจเค้าหน่อย (เรียกร้องให้สนใจเค้าก็ไม่บอก)

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Art for All: the Meaning of life



บางครั้งกิจกรรมดีๆที่อยากทำก็มักมาให้เลือกพร้อมกัน คนสองจิตสองใจอย่างเราเลยต้องคิดหนักเมื่อต้องเลือกระหว่างงาน IMT-GT Carnival ซึ่งปีนี้จัดที่มหาลัยในมาเลเซียถึง 3 แห่ง กับโครงการ Art for All ศิลป์ สร้างสรรค์ สันติสุข ณ เขื่อนรัชชประภา สุราษฎร์ฯ 2 งานนี้จัดระยะเวลาเดียวกันคือ 1-5 ธค. 55

ติ๊กต่อกๆ จะไปไหนดีน๊า จะเด็ดดอกไม้ที่สวนหน้าคณะมนุษย์ฯเพื่อช่วยการตัดสินใจก็คงถูกคณบดีตีมือ ฐานทำลายความงามของสวน งั้นเราขอเลือกโครงการ Art for All ดีกว่า ประสบการณ์นี้เรายังไม่เคยทำมาก่อน คาดว่าน่าจะมีอะไรให้เราเรียนรู้เพียบ แถมยังได้ทำความดีรับวันพ่ออีกด้วย  นับเหตุผลดีๆได้หลายข้อ ว่าแล้วก็รีบชวนนิสิตเอกสังคมศึกษา ศึกษาฯ ปี 2 ซึ่งเราเคยสอนวิชาอังกฤษ 3 ให้ไปด้วยกัน ในที่สุดก็ได้มา 12 คน กรอกใบสมัครพร้อม แจ้งนิสิตให้หาข้อมูลเกี่ยวกับค่ายจากเว็บไซต์เพื่อรู้เขารู้เรา จะได้พอเข้าใจลักษณะงาน พวกเรา ( กาน ลิฟท์ เมย์ เมย์ สาว ณี ไฟท์ เฟิร์ส ฮัน บิ๋ม ขิง & เรา)ก็พร้อมแพ็คกระเป๋าออกเดินทาง





“ฮ้า…อะไรนะ ออกเดินทางตอนตี 3!”  เอ่อ…เราไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้( นี่เรียกว่า เช้ามืดก็ยังไม่ได้เลยนะ เพราะยังเป็นช่วงหลับอุตุของเราอยู่เลย) พยายามต่อรองกับน้องสา ฝ่ายกิจการนิสิต เผื่อเห็นลู่ทางว่าจะตื่นสายได้กว่านี้ซักหน่อย โอ๊ะโยะโย๋ ด้วยระยะทางจากสงขลา-สุราษฎร์ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเวลาได้ และพวกเรายังต้องไปอบรมการเป็นอาสาสมัครที่ดีก่อนวันเริ่มงาน 1 วัน เอาล่ะ หากตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การตื่นผิดเวลา (เอ่อ…สงสัยว่าคืนนี้จะไม่ได้นอน) ต้องไม่เป็นอุปสรรค ว่าแล้วก็นอนพลิกตัวไปมาเมื่อเวลาเลยเที่ยงคืน กลัวว่าจะตื่นสาย







เสาร์ที่ 1/12/55


ว๋าย…ฝนฟ้าก็ช่างไม่เป็นใจ ทั้งฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนตกหนัก น้ำท่วมมหาลัย สับสนอลหม่าน ฤกษ์(ไม่)งาม ยามไม่ดีซะแล้วแฮะ  แต่ว่าง่วงจัง ไม่ขอคิดอะไรมาก ขึ้นรถได้ก็นั่งหลับไปตลอดทาง และอย่าให้ได้แวะปั๊ม ต้องหาอะไรเข้าปาก (ตื่นเป็นหลับ ขยับเป็น … กินตลอดแฮะเรา )

ขอบคุณพี่ๆคนขับที่ทำให้การเดินทางราบรื่น ทั้งๆที่เราแอบหวั่นๆ เกรงว่าแก๊งค์พวกเราจะเป็นตัวอย่างการหลับที่ไม่ดี ทำให้พี่ๆอยากหลับตามไปด้วย

เย้…ในที่สุดก็มาถึงค่ายโดยปลอดภัย มาก่อนเวลา 30 นาที ทีมสันทนาการของค่ายเริ่มกิจกรรมละลายพฤติกรรมให้อาสาสมัครทำความรู้จัก กัน และเรียนรู้งานค่ายจากคลิปวิดีโอครั้งก่อนๆ เพื่อให้พวกเราเข้าใจคร่าวๆว่าเราจะเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้างในวันงาน พวกเราได้รับแจกเสื้อโลโก้ Art for All คนละ 3 ตัว! เสื้อผ้าที่ทั้งยัดทั้งอัดมาเต็มกระเป๋า แถมคิดอย่างหนักว่าจะเอาชุดอะไรมาใส่เพื่อทำงาน ได้คำตอบแล้ว!



วัคซีนชีวิต 

อาสาสมัครได้ฟังบรรยายจาก ศ.ดร.ชาญณรงค์ ถึงประวัติความเป็นมาของโครงการ และการให้วัคซีนที่จำเป็นกับชีวิตมนุษย์ นั่นคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองจากการเรียนรู้สังคม และผู้อื่น มักมีคำกล่าวในค่ายเสมอๆว่า “อย่าคิดว่าเรามาเป็นผู้ให้ ให้สังเกตความรู้สึกตัวเองตอนวันสุดท้ายว่ามาครั้งนี้เราได้ให้หรือเราได้ รับ” งานอาสาเป็นงานที่ใช้แรงกาย สิ่งที่ได้รับคือแรงใจดีๆเก็บกลับบ้านเพื่อเอาไปเป็นวัคซีนชีวิต ในวันที่ท้อแท้ ผิดหวัง การได้มาร่วมค่าย มาเห็นชีวิต




ผู้พิการทั้งตาบอด หูหนวก ร่างกายไม่สมประกอบ ออทิสติก และน้องร่างกายปกติ มาอยู่ร่วมกัน ภายใต้ “ห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่” (เขื่อนรัชชประภา สุราษฎร์) โดยมีศิลปะหลากหลายบำบัด ย่อมทำให้น้องๆพวกนี้และพี่ๆอาสาได้ก้าวข้ามความคิดและก้าวผ่านอคติไปด้วยกัน พี่ๆอาสาสมัครซึ่งอาจเคยมองน้องๆคนพิการในแง่เป็นผู้ต้องการความช่วย เหลือและเป็นภาระสังคม เมื่อได้มาเจอน้องๆพวกนี้ ส่วนใหญ่เปลี่ยนความคิดในแง่ลบกันทั้งนั้น เพราะน้องๆเหล่านี้ล้วนมีความสามารถและพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ เช่น น้องที่ตาบอด ร้องเพลงไพเราะมาก และระเบียบวินัยสูง อ.ชาญณรงค์เล่าให้ฟังว่า เมื่อน้องๆได้รับมอบหมายให้สวมเสื้อตามสีแต่ละวัน น้องแต่งตัวได้ตามนั้นจริงๆ ส่วนคนตาปกติใส่เสื้อผ้าสีผิดๆถูกๆ หรือคนปกติมาสาย แต่น้องๆเหล่านี้ล้วนมาตรงเวลา และไม่มีของหาย เพราะตั้งของเป็นที่เป็นทางเพื่อช่วยการจำ (เอ่อ…เราเริ่มร้อนตัววาบๆ อิๆ ของหาย หาไม่เจอเป็นประจำ) น้องๆปัญญาหรือน้องออทิสติก พลังดี ไม่มีตก วิ่งได้ทั้งวัน และร่าเริงทั้งวัน การไม่คิดอะไรมากของน้องๆพวกนี้ก็ดีแฮะ ในแง่นึงก็เป็นความตรงไปตรงมา คิดอะไรทำอย่างนั้น มีน้องคนนึงในกลุ่มกานซึ่งค่อนข้างไฮเปอร์ พี่ๆต้องคอยวิ่งจับตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นน้องที่เราจำได้ดี เหตุการณ์มีอยู่ว่า

“อาจารย์ ระวัง!!”
(ระหว่างที่เหลียวซ้ายแลขวาว่าให้ระวังอะไรล่ะเนี่ย)
 “ ว๊าย! ขวดน้ำลอยมาตกใกล้ๆตัว”

เอาเข้าแล้วไง น้องคนนี้กำลังออกฤทธิ์ขว้างของใกล้ตัว ดีนะเนี่ยที่เราไม่ได้หัวปูดๆเป็นของที่ระลึกจากค่าย

             -----continued part II ---------

วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แลกกันอ่าน ส่งผ่านความสุข


เราได้รับมอบหมายจากพี่ปูน Fulbright ให้มอบหมายให้นิสิตเขียนความรู้สึกจากการเข้าร่วมทำกิจกรรม Reading Project: แลกกันอ่าน ส่งผ่านความสุข ที่เราโม้พี่ปูนไปว่าเรามาทำหลังจากที่เข้าร่วม Fulbright Talkshow: Read with Greed ที่หาดใหญ่
พี่ปูนอยากจะเอาไปลง Fulbright Year-End Report 2012 เราไม่ปฎิเสธอยู่แล้วแถมดีใจที่เรามีโอกาสได้ลงในหนังสือรายงานประจำปีของฟุลไบรท์ เป็นเกียรติเป็นศรี อิๆ คราวนี้เลยพ่วงนิสิตที่เราขออาสาสมัครช่วยเขียนความรู้สึกจากการเข้าร่วมกิจกรรม ประเดิมด้วยวิลดาฮ์ นิสิตศึกษาฯ เอกอังกฤษ ปี 2 ซึ่งตั้งใจเรียนมาก และเป็นเพื่อนทาง FB ติดตามข่าวคราวตอนเราอยู่อเมริกา จนกลับมาแล้วได้มาเรียน/สอนกันต่อ
------------------------------------------------            
 
   ก่อนที่จะมาเรียนในวิชา Analyze and Critical reading ซึ่งอาจารย์นกเป็นผู้สอน พี่ๆเขาได้กล่าวถึงอาจารย์มากมาย ถึงความเก่งในการสอน  เทคนิคในการจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และคุณสมบัติของอาจารย์ทางด้านคุณวุฒิ ประสบการณ์ของชีวิต ดิฉันรู้สึกตื่นเต้น อยากที่จะเรียนกับคนที่มีความรู้สูง ประสบการณ์สูง มีเทคนิคการสอนยอดเยี่ยม เมื่อได้มาเรียนกับอาจารย์  รู้สึกว่าไม่ผิดหวัง จริงดั่งคำที่พี่ๆได้กล่าวถึงอาจารย์ไว้ตั้งแต่เบื้องต้น เพียงกิจกรรมแรก ก็สามารถก่อให้เกิดการเรียนรู้หลายด้าน เรียนรู้เรื่องการศึกษาคน อุปนิสัยใจคอ ความสนใจ ความชอบ ซึ่งทำให้เกิดบทสรุปว่า เราจะคบกับใคร เราต้องรู้ว่าเขาชอบเรื่องอะไร จะได้พูดถึงเรื่องนั้นๆได้ เป็นตัวชี้วัดว่า เขารัก เขาชอบอะไร อนาคตสามารถจะรู้ได้ว่า เขาควรจะมีอาชีพอะไร ดำเนินชีวิตอย่างไร เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าในการศึกษาต่อ เป็นการสร้างสัมพันธไมตรีที่ยั่งยืน

               กิจกรรมนี้ อาจารย์ให้นำหนังสือที่ตนเองชอบมาคนละ 1 หรือ 2 เล่ม ซึ่งถ้าทุกคนปฏิบัติตาม นำหนังสือที่ตนเองชอบมาจริงๆ ก็เท่ากับว่าได้ประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเขาชอบอะไร เขาต้องการอะไร เขาหวังอะไรในอนาคต แต่ถ้าใครเอามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์ของกิจกรรมก็คงจะไม่ประสบกับความสำเร็จของจุดประสงค์ในกิจกรรมนี้ได้ เพราะเมื่อนำหนังสือทั้งหมดมารวมกัน ก็จะจับฉลาก  ใครได้ลำดับที่แรก ก็สามารถเลือกหนังสือที่มากองรวมไว้ โดยที่หนังสือนั้นมีชื่อของเจ้าของกำกับอยู่ได้ก่อน แล้วเราก็นำไปอ่าน .. รู้ไหมคะ.... คนที่เลือกก่อนก็จะเลือกหนังสือที่ตนเองชอบเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่เป็นเจ้าของหนังสือกับคนที่เลือกหนังสือ มีความชอบในสิ่งเดียวกัน เขาคือเพื่อนกัน ที่สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง ส่วนคนที่ไม่ได้เลือกหนังสือตามความชอบที่ตนเองต้องการ ก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และเข้าใจความต้องการ ความสนใจของเพื่อน จากเนื้อหาสาระของหนังสือ

               สรุปว่า กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งไม่สามารถจะบรรยายได้หมด ดิฉันได้เลือกหนังสือที่ดิฉันชอบไปให้เพื่อนอ่าน 2 เล่ม คือ “ฮวนนั้ง” เขียนโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ หนังสือ “กระชากวิญญาณ  ดิฉันเลือกหนังสือของเพื่อนมา 1 เล่ม คือ “ศัพท์ (สับ) ขาหลอก บอกแล้วไม่ต้องท่อง” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดหมวดหมู่คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และดิฉันกำลังอ่านอยู่  ดิฉันภูมิใจที่มีเพื่อนที่สนใจเหมือนกับดิฉัน และ ดีใจจังที่ได้มีเพื่อนไว้คุยในสิ่งที่สนใจเหมือนกัน

 

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

524: Mission complete!!!!

3 เดือนกับอีก 10 วัน สำหรับการย้ายบล๊อคให้นก
ไหนว่า 300 กว่าๆ ไง กว่าไป 200 ใช่ป่าว
ในเมื่อรับปากแล้ว ก็ต้องสู้ต่อไป
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้






 

จากนี้เราหมดหน้าที่ที่รับปากไว้แล้วนะนก
ขอให้ใช้ประโยชน์กับบล๊อคใหม่อย่างคุ้มค่า




ปล. ลองย้ายเองดูแค่ซักอัน แล้วจะรู้ว่า มันใช้เวลาจริงๆ ^^





โอ๋

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตามดูเบื้องหลังนางงาม Miss Tourism World 2012 Final Contest





เราและนิสิตเอกอังกฤษ ศึกษาฯ ปี 2 ติดตามไปช่วยเป็นไก๊ด์
ที่สถาบันทักษิณคดีศึกษาให้แขกจากมหาวิทยาลัย Universiti Uttara Malaysia
ก้าวลงจากรถ เราก็เห็นป้ายต้อนรับ Miss Tourism World 2012
คิดว่ามันคงจะผ่านไปแล้ว (แฮ่ ด้วยความที่ไม่ได้ติดตามข่าวประกวดนางงามเลย มันไกลตัว)
พอพี่เจ้าหน้าที่บอกว่าพรุ่งนี้บรรดานางงามจาก 51 ประเทศจะมาเยี่ยมชมสถาบันทักษิณคดีศึกษา 







โอ้ว…ตื่นเต้นๆ อยากมาดู
แต่จะมาอย่างไม่ทำหน้าที่เค้าก็คงไม่ให้เราเสนอหน้า…หัว…และตัวอยู่ในงาน
เลยรีบอาสาขอช่วยงานอะไรก็ได้เพื่อจะได้ใกล้ชิดนางงาม
อิๆ ฝันวัยเด็กที่อยากเป็นนางสาวไทยเริ่มกลับมาอีกครั้ง J
โชคดีที่ผอ.สถาบันใจดี เห็นด้วยที่เรากับนิสิตเอกอังกฤษปี 2 จะมาช่วย
เผื่อว่าจะได้ช่วยพูดคุย หรือให้ความช่วยเหลือ คนยิ่งเยอะก็ยิ่งดี 55
แผนจะประกบนางงาม ติดตามชีวิต ดูเบื้องหลังนางงามใกล้เป็นจริงแล้ว







เอาล่ะ ในที่สุดก็มีงานให้เราทำแล้ว เย้…ตื่นเต้นๆ
รีบกลับมาหาข้อมูลเรื่องการประกวดโดยพลัน เผื่อจะได้เป็นข้อมูลคร่าวๆ
เลยรู้ว่าบรรดานางงามมีแผนไปหลายจังหวัด
ถัดจากสงขลาก็จะเป็นกระบี่ ก่อนหน้านั้นก็เป็นอยุธยา กทม.
ดีจังที่คณะผู้จัดเลือกสถาบันทักษิณฯของมหาลัยทักษิณ
จะได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสายตาโลก และเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม
ไม่แน่ว่าเด็กไทยเมื่อเห็นนางงามมาใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์
อาจจะสนใจมาเที่ยวบ้างก็ได้  (เห็นคนชาติอื่น รุ่นใหม่ๆเข้าพิพิธฯ
เด็กไทยจะได้ไม่เห็นว่าการเข้าพิพิธฯเป็นเรื่องเชย เดี๋ยวนี้พิพิธฯดีๆมีเยอะ)



เสาร์ 8 ธันวาคม 2555

เมื่อคืนตื่นเต้น นอนไม่ค่อยหลับ
(แอบเป็นเอามาก อิๆ ปรากฏว่านิสิตก็เป็นกันทั่วหน้า น่าน…)
อากาศวันนี้ร้อนมาก นางงามต่างชาติลงมาจากรถ
เราว่าเค้าก็คงร้อน แต่ส่วนใหญ่เค้าก็ไม่ทำหน้าเบื่อหน่าย
(อันนั้นเอาไว้ทำที่บ้านหรือตอนอยู่ตามลำพังแหงมๆ)
เราว่าบางทีนางงามก็ดูเหมือนตุ๊กตาตรงที่ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ
ใครขอถ่ายรูปด้วยก็ต้องทำหน้าตายินดี
โชคดีจังที่ไม่ได้เป็นนางงาม ไม่ต้องปั้นหน้ามาก ฮี่ๆ (องุ่นเปรี้ยวมาเอง)
เราและนิสิตขอถ่ายรูปกับนางงามที่ชื่นชอบ
แต่ละคนนี่พวกเราต้องเขย่งสุดฤทธิ์ และพยายามทำหน้าสวยๆ ใส่กล้อง
ประหนึ่งว่ากำลังประชันความงามกับพวกเธอ อิๆ



นางงามใช้เวลาเดินแต่ละห้องไม่นาน เพราะมีคิวอยู่ที่นี่แค่ 2 ชม.
กว่าจะถ่ายรูปหมู่กับป้ายต่างๆก็กินเวลาไปเยอะ
งานนี้ผู้ติดตามและนักข่าวเยอะมาก ทำให้เราไม่ค่อยได้เข้าถึงตัวนางงาม
(ตกลงมาแล้วมีประโยชน์ตรงไหนเนี่ย)






เราพยายามจะอธิบายข้าวของในพิพิธฯเพราะมาเดินที่นี่จนปรุแล้ว
มิสตุรกีตอนเราบรรยายก็ทำหน้าเข้าใจ แต่พอถามกลับตอบได้แค่ I don't know.
โอ้ว...ที่เราเปลืองน้ำลายไปหลายหยดนี่
เธอฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ ทำเอาเราเสีย self
โชคดีที่น้องผู้ติดตามบอกเราว่านางงามหลายคนใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่อง
เช่นนางงามเม็กซิโก และตุรกี ( น่าน แล้วจะประกวดนางงามท่องเที่ยวโลก
ซึ่งต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางได้ไงเนี่ย งง...)





เรามาที่นี่บ่อยจนซี้กับพี่ๆน้องๆจนท. หลายคนจะจำเราได้และทักว่าเราหายไปเป็นปีเลยนะ
( ฮ่าๆ คือปกติพวกเค้าเห็นเราเดินเพ่นพ่านไปๆมาๆที่นี่ปีนึงๆบ่อยครั้งมาก)

สิ่งที่เราช่วยได้เลยกลายเป็นการอยู่ประจำฐานอาหารและเครื่องดื่ม (แอบน้ำลายไหลเล็กน้อย)
ศัพท์เครื่องดื่มของวันนี้คือ
น้ำเก๊กฮวย = chrysanthemum juice  (ขายดีที่สุด หมดก่อนเพื่อน)
น้ำกระเจี๊ยบ = rosell juice
น้ำดอกอัญชัน = buttery pea juice






ส่วนอาหารว่าง คือ
ลูกชุบ = fruit-imitated soybean dumpling coated with jelly
เทียนสด =  smoked soybean (อันนี้คิดเอาเองจากที่จนท.บอกว่าเป็นการอบควันเทียน)



เสร็จภาระกิจ(แอบดู)นางงามก็ได้เวลากลับสู่ชีวิตจริง :)